นายกฯ เผยหารือผู้นำในการประชุมเอเปคเป็นประโยชน์กับไทย

เปรู 17 พ.ย.-นายกฯ ยืนยันการหารือแลกเปลี่ยนผู้นำในการประชุมเอเปคเป็นประโยชน์กับประชาชน-ประเทศไทย ผลักดันการเปลี่ยนผ่านเป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG มั่นใจเป็นใบเบิกทางให้นานาชาติเห็นตัวตนไทยและเพิ่มโอกาสการค้าการลงทุนมากขึ้น

วันที่ 16 พฤศจิกายน 2567 เวลา 8.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของกรุงลิมา ซึ่งช้ากว่าประเทศไทย 12 ชั่วโมง ณ โรงแรมสวิสโซเทล ลิมา สาธารณรัฐเปรู นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงภาพรวมในการเข้าร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 31 และการประชุมอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู ว่า สาธารณรัฐเปรูเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคเป็นครั้งที่ 3 แล้ว อย่างไรก็ดี ด้วยเอเปคเป็นการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค จึงถูกกำชับว่าห้ามเรียกว่าประเทศ แต่ให้เรียกว่าเขตเศรษฐกิจแทน เพื่อให้สมาชิกในเขตเศรษฐกิจทุกคนช่วยเหลือซึ่งกันและกันโดยไม่แบ่งแยกประเทศ


ในส่วนของประเทศไทยเองก็เคยเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปคปี 2565 ด้วยเช่นกัน ภายใต้แนวคิด BCG Economy หรือ Bio-circular -Green ecocomy ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ก็ยังใช้แนวคิดเดิม โดยมีหัวข้อหลักๆ อาทิ การเสริมสร้างพลัง การมีส่วนร่วม และการเติบโตที่ยั่งยืน (Empower Include Grow) เพื่อให้สมาชิกเติบโตที่ยั่งยืนไปด้วยกัน

พร้อมเปิดเผยว่า การมาเยือนในครั้งนี้ได้มีการขับเคลื่อนการลงทุน โดยผลักดันให้เกิดการค้าเสรี หรือ FTA ขึ้น ขณะเดียวกัน ก็ได้ส่งเสริมในเรื่องของนวัตกรรม ดิจิทัล และการเติบโตที่ยั่งยืน ทั้งหมดจึงตรงกับนโยบายที่ประเทศไทยกำลังผลักดันอยู่พอดี เพราะขณะนี้ทั่วโลกส่วนใหญ่เน้นย้ำเรื่องนี้เป็นหลัก ซึ่งประเทศไทยเองก็เช่นกัน


ส่วนเรื่องของการพัฒนาที่ยั่งยืน ทุกประเทศได้พูดคุยกันถึง Sustainability โดยลงรายละเอียด ว่าจะพัฒนาพลังงานที่ยั่งยืนได้อย่างไร รวมถึงสอบถามอุปสรรคและปัญหาทางภัยธรรมชาติที่เผชิญว่าจะมีวิธีแก้ไขอย่างไรได้บ้าง และจะนำเทคโนโลยี ที่แต่ละประเทศมีไม่เหมือนกันมาสนับสนุนได้อย่างไร

สำหรับการประชุมนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการหารือกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (ABAC Dialogue with APEC Economic Leaders ) ได้คุยกับผู้นำแต่ละเขตเศรษฐกิจและนักธุรกิจในด้านต่างๆ อาทิ พลังงาน รถยนต์ไฟฟ้า และAI ซึ่งหลายบริษัทได้สอบถามว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ในจุดไหน จึงตอบไปว่า ตอนนี้ประเทศไทยกำลังรับเรื่องการลงทุน เพื่อสร้างเม็ดเงินใหม่ๆ เข้ามาในประเทศ โดยเน้นไปที่เทคโลโลยี AI , Semiconductor และ Data center วันนั้นจึงได้มีโอกาสพูดคุยกับนักธุรกิจด้วยกัน 3 บริษัท ประกอบด้วย Tiktok , Microsoft และ Google จึงเสมือนเป็นการต่อยอดให้มาลงทุนเพิ่มเติมกับประเทศไทย และประกาศว่าประเทศไทยพร้อมจะสนับสนุนในเรื่องใดบ้าง เพื่อให้ต่างชาติเกิดความมั่นใจว่าหากมาลงทุนที่ไทย รัฐบาลก็พร้อมสนับสนุน เพราะแท้จริงแล้ว 3 บริษัทดังกล่าวก็มีการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านด้วย ด้วยเหตุนี้จึงอยากให้มาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น

ฉะนั้นหากถามว่าประเทศจะได้อะไรจากการลงทุนในครั้งนี้ แน่นอนว่าการลงทุนอย่าง Data center จะทำให้คนไทยเกิดอาชีพใหม่ๆ และเกิดการจ้างงานแบบใหม่ๆ เพราะอย่างที่ทราบกันว่าตอนนี้ GDP ของไทยเติบโตไม่เต็มศักยภาพ ดังนั้นการหาเม็ดเงินใหม่ๆเข้ามาในประเทศ เพื่อให้คนมีรายได้และมีอาชีพจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยไทยจะต้องพัฒนาทุกด้านไปพร้อมๆกัน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเงิน 10,000 บาท รายได้ใหม่ ซอฟต์พาวเวอร์ การลงทุน และการหาเม็ดเงิน ไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้เกิดภาพรวมและกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งประเทศ


ขณะที่ การเข้าร่วมกรอบการประชุมต่างๆ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ไทยได้แสดงจุดยืนในเรื่องของนโยบายเชิงรุก ว่าการศึกษาในไทยรัฐบาลยินดีที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่อยู่แล้ว แต่หากติดขัดในเรื่องของภาษา เราก็พร้อมที่จะสนับสนุน โดยขอให้แต่ละบริษัทมีการฝึกอบรมในรูปแบบของภาษาไทยด้วย เพื่อพัฒนาบุคลากรควบคู่กันไปขณะเดียวกัน ตนก็ได้สร้างความมั่นใจไปว่าไทยพร้อมแล้วที่จะมุ่งมั่นพัฒนาเศรษฐกิจ โดยให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านเกษตรกรรมอัจฉริยะ หรือ Smart farming อย่างแท้จริง

ส่วนการพบหารือทวิภาคี นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้พบกับ นางดินา เอร์ซิเลีย โบลัวร์เต เซการ์รา ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเปรู ซึ่งดีมากๆ เพราะเปรูถือเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมเอเปคปี 2024 นี้ อีกทั้งยังเป็นผู้หญิงเหมือนกันด้วย จึงได้มีโอกาสทักทายและพูดคุยกัน พร้อมยืนยันไปด้วยว่า ไทยพร้อมที่จะทำงานร่วมกันต่อไป โดยเฉพาะในเรื่องการเจรจาการค้าเสรี หรือ FTA ระหว่างไทย-เปรู เนื่องจากเปรูเพิ่งเปิดท่าเรือชางใคได้ไม่นานจึงถือเป็นการเพิ่มโอกาสในการส่งสินค้าเกษตรของไทยได้เป็นอย่างมาก ซึ่งจะเชื่อมโยงกับโครงการแลนด์บริดจ์ของไทยได้อีกด้วย

ส่วนเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า เปรูได้มีการนำขนอัลปากามาทำเป็นเสื้อ ขณะที่ ไทยมีผ้าไหม จึงต้องหาทางว่าจะทำร่วมกันอย่างไรดี เพื่อให้เกิดเนื้อผ้าพิเศษขึ้นมา ฉะนั้นเรื่องนี้ทางคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติจะนำประเด็นนี้ไปพิจารณากันต่อ เพื่อนำซอฟต์พาวเวอร์ของทั้งสองประเทศมารวมกัน ให้คนสามารถเข้าถึง เข้าใจได้ง่าย และช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่ง

ทั้งนี้ สำหรับการหารือทวิภาคีกับ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้พูดคุยเรื่องที่จะร่วมมือกัน เพราะในปีหน้าไทย-จีน จะมีงานเฉลิมฉลองความสัมพันธ์จีน-ไทย ครบรอบ 50 ปี จึงได้มีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาติ หรือ พระเขี้ยวแก้ว มาประดิษฐานไว้ที่ประเทศไทย เพื่อให้พี่น้องคนไทยสักการะบูชา

นอกจากนี้ ยังได้มีการพูดคุยกันถึงเรื่องที่จีนจะมอบแพนด้ายักษ์มาประเทศไทยอีกครั้ง โอกาสนี้ไทยจึงได้กล่าวชื่นชมประเทศจีนเรื่องลดความยากจนในประเทศว่าทำได้สำเร็จดีมากๆ และพร้อมที่จะเรียนรู้โมเดลของจีนต่อไป หากมีอะไรก็สามารถแนะนำมาได้ โดยไทยได้ย้ำถึงความร่วมมือระหว่างกัน โดยเฉพาะเทคโนโลยีต่างๆ ที่จะต้องขอความร่วมมือซึ่งกันและกันด้วย ตนจึงได้เปิดโอกาสและขอให้ภาคเอกชนของจีนเข้ามาลงทุนที่ประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจีนยืนยันว่าจะส่งเสริมความร่วมมือต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ Online scam ระหว่างกัน และจะสนับสนุนไทยเข้าร่วม BRICS

ก่อนกล่าวทิ้งท้ายถึงการเข้าร่วมงานกาล่าดินเนอร์ ว่า ได้มีโอกาสเข้าร่วม 2 ครั้ง คือ งานเลี้ยงอาหารค่ำ APEC CEOs-Leaders Dinner และ งานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค จึงได้สร้างความมั่นใจและขอความร่วมมือให้ภาคเอกชนมาลงทุนที่ประเทศไทย ตลอดทั้งสามวันจึงถือว่าได้ประสบการณ์เป็นอย่างมาก เพราะได้แลกเปลี่ยนมุมมองกับผู้นำในแต่ละเขตเศรษฐกิจ ซึ่งพอได้คุยกันอย่างเป็นการส่วนตัว ก็ได้คุยกันถึงเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ ขณะเดียวกัน เราก็ได้เน้นย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีโลกด้วยว่า พร้อมแล้วสำหรับการลงทุน และความร่วมมือ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจทั้งของเราและเภื่อนสมาชิก ด้วยเหตุนี้ จึงมั่นใจว่าการได้พูดคุยกันแบบนี้จะทำให้เราสามารถเดินหน้าความร่วมมือกับประเทศต่างๆและหาโอกาสให้กับประเทศไทยได้ง่ายขึ้น โดยในการเจรจาครั้งต่อไปเขาก็จะได้รู้ว่าเรามีตัวตนและมีศักยภาพ.-312.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ตำรวจเตรียมสอบเชิงลึกชาย BHQ หวั่นเป็นไส้ศึก

บุรีรัมย์ 6 ส.ค.-ตำรวจ สอบปากคำชายชาวกัมพูชา พบมีการใช้ชื่อถึง 4 ชื่อ อ้างเคยเป็นทหารหน่วย BHQ จริง แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อการคำให้การ เกรงแฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับ กรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จังหวัดบุรีรัมย์ จับกุมชายชาวกัมพูชา ได้ที่บ้านพักภรรยาคนไทยและมีเครื่องแบบทหารพร้อมตราสัญลักษณ์ BHQ จากการสอบปากคำ เคยเป็นทหารหน่วย BHQ จริง แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว มาทำงานอยู่ไทย แล้วถูกสวมชื่อ จากการตรวจสอบพบมีการใช้ชื่อถึง 4 ชื่อ ซึ่งแต่ละชื่อไม่ตรงกัน และอ้างว่าเมื่อก่อนเข้ามาอย่างถูกต้อง แต่ล่าสุดมีการลักลอบเข้ามาผ่านช่องทางธรรมชาติทาง จ.สระแก้ว โดยอ้างว่าจ่ายเงินบุคคลที่พาเข้า 4,000 บาท แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อการคำให้การ เกรงว่าอาจจะแฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับคอยส่งข้อมูลความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับความมั่นคงของไทย ไปให้ฝั่งกัมพูชา จากการตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์พบมีรูปถ่ายกายแต่งกายทหารและถือปืน เบื้องต้นทางตำรวจจะดำเนินคดีมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต.-สำนักข่าวไทย

GBC หารือใหม่เช้านี้ หลังเมื่อคืนถกถึงเที่ยงคืน

มาเลเซีย 6 ส.ค.-GBC ประชุมใหม่เช้านี้ หลังเมื่อคืน ฝ่ายกัมพูชา ไม่สามารถตัดสินตกลงใจได้ในบางหัวข้อและต้องส่งกลับไปให้พนมเปญพิจารณาต่อ การหารือภายใต้กรอบ GBC ณ เวลา 07.45 น. วันนี้ (ตามเวลาท้องถิ่น) เมื่อคืน คณะเลขานุการ GBC ของทั้งสองฝ่าย ได้เจรจากันถึงเวลา 00.15 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) แต่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ในบางประเด็นสุดท้าย เนื่องจากฝ่ายเลขานุการ GBC ของฝ่ายกัมพูชา ไม่สามารถตัดสินตกลงใจได้ในบางหัวข้อและต้องส่งกลับไปให้พนมเปญพิจารณาต่อ จึงได้นัดประชุมอีกครั้ง เวลา 08.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) วันนี้ เพื่อหาข้อสรุปสำหรับประเด็นดังกล่าว โดยเมื่อเวลา 07.40 น. รัฐมนตรีช่วยกลาโหม ได้โทรศัพท์มาพูดคุยกับคณะเลขานุการ GBC ของฝ่ายไทยติดตามความคืบหน้าในการเจรจา ให้กำลังใจ และชื่นชมในการทำงานอย่างหนักถึงวินาทีสุดท้ายของทีมไทยแลนด์ ขอให้ประสบความสำเร็จในการเจรจา เพื่อบรรลุผลและปกป้องผลประโยชน์ของไทย.-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ยันไม่เคยสั่งกำลังพลไปเก็บศพเขมร อย่าเชื่อข่าวปลอม

5 ส.ค. – แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชา บริเวณชายแดน ขออย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เมื่อวันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า จากกรณีที่สื่อโซเชียลมีเดียได้ลงข้อความอันเป็นเท็จ ที่ทำให้พี่น้องประชาชนเข้าใจผิดว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ได้สั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชาที่อยู่บริเวณชายแดนนั้น ตนยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปปฏิบัติอย่างนั้น ผู้เสียชีวิตนั้นเป็นชาวกัมพูชา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทางประเทศไทย “ผมไม่เคยมีคำสั่งแบบนี้ และขอยืนยันว่า ข่าวที่ออกมานั้นเป็นข่าวปลอม ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าได้หลงเชื่อ“ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว.-313-สำนักข่าวไทย

ทหารไทยยอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง

ศรีสะเกษ 5 ส.ค. – วันนี้ยังมีการเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงเข้ามาในพื้นที่พลเรือนฝั่งไทย ส่วนเมื่อคืนนี้ (4 ส.ค.) เป็นคืนแรกของการประชุม GBC ชุด ชรบ.หมู่บ้านแนวชายแดน อ.กันทรลักษ์ จึงออกตรวจตราเข้มข้น ขณะที่ทหารแนวหน้ายอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง ทีมข่าวมีโอกาสได้พูดคุยกับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา สอบถามถึงเรื่องที่กำลังเป็นประเด็น คือกลิ่นศพของทหารกัมพูชา ทหารยอมรับว่ามีกลิ่นจริง และมีศพทหารกัมพูชาถูกทิ้งไว้จริง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ หากมีหน้ากากอนามัยเชื่อว่าจะช่วยบรรเทาได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีหน้ากาก N95 ส่งถึงพื้นที่บ้างแล้ว พร้อมขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ส่งกำลังใจ ทหารยังพร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ วันนี้ทีมข่าวยังเกาะติดภารกิจเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงใส่พื้นที่พลเรือนของไทยใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จุดแรก จรวด BM-21 ถูกกัมพูชายิงตกใส่ลงทุ่งนาของชาวบ้าน พื้นที่ ต.ทุ่งใหญ่ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม วันเดียวกับที่ยิงใส่ปั๊ม ปตท.บ้านผือ โดยห่างกันราว 1 กิโลเมตร ส่วนอีกจุดเป็นการทำลายลูกจรวด PG-7 ที่ถูกยิงจากเครื่องยิงจรวด RPG ตกลงในสวนยางพาราของชาวบ้าน ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ที่ถูกพบในสภาพพร้อมทำงาน จุดนี้อยู่ห่างจากชายแดนกัมพูชาเพียง […]