ทำเนียบฯ 13 เม.ย.- นายกรัฐมนตรี ประชุม ศบค.สั่งการให้ทุกหน่วยงานประเมินภาพรวมการทำงาน พิจารณาให้ครอบคลุมทุกมิติหากจะผ่อนปรนมาตรการ ขอบคุณทุกภาคส่วนสนับสนุนรัฐบาลแก้ปัญหาโควิด-19
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (13 เม.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. โดยนายกรัฐมนตรีอวยพรวันสงกรานต์แก่คณะกรรมการทุกคนใน ศบค. ขอให้สุขภาพแข็งแรง มีความสุข มีความตั้งใจทำหน้าที่เพื่อประเทศและประชาชน
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงชื่นชมผลการปฏิบัติงานของรัฐบาล คณะรัฐมนตรี ข้าราชการพลเรือน ตำรวจทหาร เจ้าหน้าที่แพทย์ พยาบาล สาธารณสุข เจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น อาสาสมัครสาธารณสุข จิตอาสา ตลอดจนภาคธุรกิจเอกชน และประชาชนที่ร่วมกันทำงานอย่างหนัก ด้วยความอดทน เสียสละ ร่วมมือกันจนทำให้สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยดีขึ้นตามลำดับเป็นที่น่าพอใจ พร้อมพระราชทานกำลังใจให้ทุกคนหากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ประสงค์ให้พระองค์ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พระราชทานเพิ่มเติม ขอให้กราบบังคมทูลฯ ได้ตลอดเวลา ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ขอให้ทั้งสองพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้น นายกรัฐมนตรี และที่ประชุม ศบค.ได้ประเมินสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปี 2563 ว่า จากสถานการณ์ทั่วโลกคงจะประสบปัญหาต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องกำหนดนโยบายในการแก้ไข อาจจะประกอบด้วยการเยียวยาภาคส่วนต่าง ๆ ส่วนการดูแลช่วยเหลือในช่วงสถานการณ์โควิด-19 นายกรัฐมนตรี ได้ให้แนวทางให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการแจกจ่ายเวชภัณฑ์ รวมทั้งในส่วนของการตั้งคณะอนุกรรมการเกี่ยวกับการบริหารจัดการพัสดุสำหรับการป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโควิด -19 ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 9/2563 เพื่อให้เกิดการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพที่สุด ขอให้เพิ่มผู้แทนจากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งสิ่งที่สำคัญ คือ ต้องดูแลช่วยเหลือประชาชน โดยในสถานการณ์นี้อาจจะพิจารณาใช้มาตรการพิเศษ แนวทาง ความช่วยเหลือที่ได้กำหนดแล้ว ให้นำไปใช้ให้ได้ผล ส่งความช่วยเหลือถึงประชาชนที่เดือดร้อน มอบหมายกระทรวงการคลังให้ดำเนินการพัฒนาตามแนวทางที่กำหนด ชี้แจง ให้ประชาชนเข้าใจ
นายกรัฐมนตรี ยังเล่าถึงการตรวจเยี่ยมการดำเนินการของภาครัฐ หน่วยงาน และประชาชนในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา ว่า เป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี ขอให้ทุกฝ่ายมีการประเมินภาพรวมร่วมกันในการทำงานที่ผ่านมาด้วย ว่า Best and worst case จะเป็นอย่างไร จะมีการผ่อนสั้นผ่อนยาว อนุโลม และเข้มงวดในเรื่องใดบ้าง เช่น กรณีช่างตัดผม ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปหาแนวทางร่วมกัน ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหลักในการประเมินมาตรการผ่อนคลาย และหากเกิดสถานการณ์เลวร้ายลง worst case จะทำอย่างไร ให้พิจารณาให้ครอบคลุม ทุกมิติ เชิงลึก เชิงกว้างและรอบคอบ เพื่อประชาชนเป็นที่ตั้ง หากมีปัญหาก็ต้องช่วยกันแก้ไข ทำงานในสถานการณ์ฉุกเฉินแบบนี้ต้องมีปัญหา แต่อย่าเกิดข้อขัดแย้งกันเอง ทุกฝ่าย ทุกคนเหนื่อย แต่ขอให้อดทนการดูแล
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องการดูแลแรงงาน ให้สำนักงานประกันสังคมดูแลแรงงานที่ขึ้นทะเบียนให้ได้รับการช่วยเหลือ และให้พิจารณาผู้ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนแรงงานว่าจะสามารถหาช่องทาง แนวทาง วิธีการ ในการช่วยเหลืออย่างไรได้บ้าง เช่น ช่วยเหลือให้ลงทะเบียนให้ครบถ้วน ถูกต้อง การจัดสรรงบประมาณให้ถูกกลุ่ม ถูกความต้องการ ความจำเป็น ส่วนงบประมาณของแต่ละกระทรวงเพื่อนำมาช่วยผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ขอให้ร่วมกันพิจารณาด้วยความละเอียดถี่ถ้วน เพื่อช่วยเหลือเยียวยา รักษา ขอให้ทุกหน่วยงานร่วมคิดแบบมีวิสัยทัศน์ เปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่นที่เป็นประโยชน์
นายกรัฐมนตรี ยังได้สั่งการในที่ประชุม ศบค. 9 ประเด็น คือ 1.ให้ทุกหน่วยงานประเมินสถานการณ์ Best and Worst Case เพื่อปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงาน 2.บันทึกเหตุการณ์โควิด-19 ในหอจดหมายเหตุเพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินงานในอนาคต 3.การบูรณาการข้อมูล ความคิดเห็นของประชาชน แม้ในโซเชียลมีเดียจะโต้แย้งกัน บางข้อคิดเห็นก็มีประโยชน์ ให้พิจารณาอย่างละเอียดทั้งแผนด้านบุคคลากร แผนด้านการทำงาน เช่น การจัดเงินกู้ ก็ต้องมีคณะกรรมการคัดกรองอย่างละเอียดถี่ถ้วย 4.ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเอาใจใส่ ตรวจตรา ประเมิน กำกับดูแลผู้ปฏิบัติงาน หากต้องการความช่วยเหลือ หรือเจ็บป่วย ด้านใด ต้องได้รับการดูแล ต้องช่วยเหลือ 5.ด้านการกระจาย แจกจ่าย เวชภัณฑ์ทางการแพทย์ ขณะนี้มีพัฒนาการที่ดีขึ้น ตอบสนอง รองรับความจำเป็นในการใช้งานได้ 6.การกำหนดราคาสินค้า สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดูแลอย่างใกล้ชิด กระทรวงพาณิชย์จัดทีมสร้างแนวร่วม เช่น จิตอาสา เพื่อช่วยสอดส่องดูแลให้เรียบร้อย 7.ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำสถิติ ตัวเลข เช่น การติดเชื้อ ที่มาของโรค 8.พิจารณาการใช้แอปพลิเคชั่น โดยเมื่อสำเร็จแล้ว ให้ช่วยชี้แจงให้ประชาชนผู้ใช้งานเข้าใจ ใช้งานได้จริง และ 9.ด้านโครงการวิจัยและพัฒนา ให้ศึกษาว่าขณะนี้ เวลานี้ เราทำอะไรได้บ้าง ทั้งในส่วนของการดำเนินโดยบุคลากร manmade และการใช้เทคโนโลยี รวมถึงการให้ภาคเอกชนเข้ามาช่วยเหลือ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ขอบคุณภาคเอกชนที่ให้เกียรติรัฐบาล ร่วมมือและมอบสิ่งของเครื่องใช้ รวมถึงร่วมวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหา
ขณะที่ กระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานสถานการณ์ผู้ติดเชื้อ จำนวนเตียง เวชภัณฑ์ ที่จะรองรับผู้ป่วย เครื่องช่วยหายใจที่กระจายไปตามต่างจังหวัด ขอให้มั่นใจว่าเพียงพอรองรับ กระทรวงกลาโหมได้รายงานถึงรวมการตั้งจุดควบคุม เฝ้าระวังว่าได้ดำเนินการอย่างเข้มงวด
ด้านกระทรวงมหาดไทย ได้รายงานการกระจายหน้ากากผ้าว่าครบตามจำนวน ได้แจกจ่ายครบ 50 ล้านชิ้นแล้ว ผ่านการดำเนินการตามแผนที่วางไว้ และการสร้างความเข้าใจกับประชาชน รวมทั้งการทำ Local Quarantine ให้ได้ผลสำเร็จ การลงโทษผู้รวมตัวมั่วสุ่ม ผ่านการดำเนินการอย่างเข้มงวด ตลอดจนมีการค้นหาผู้ป่วยเพื่อดูแล ได้ดำเนินปิดด่านทางบก 50 แห่ง อนุญาตให้สินค้าผ่านได้ ยกเว้น ประชาชน การนำเข้ามาจะให้ทยอยการเข้าตามจำนวนที่กำหนดไว้ และต้องเป็นไปตามแนวทางปฏิบัติในการเดินทาง
ส่วนกระทรวงการต่างประเทศ ได้รายงานความคืบหน้ามาตรการเดินทางเข้าออกประเทศ และการดูแลคนไทยในต่างประเทศ การทะยอยนำคนไทยกลับประเทศ และการเข้ากระบวนการ State Quarantine โดยไม่ให้เชื้อแพร่กระจาย โดยในส่วนของการดำเนินงานด้านการข้ามแดนของแรงงานกระทรวงการต่างประเทศได้ประสานประเทศต้นทาง และประสานฝ่ายหน่วยงานด้านความมั่นคงในการแก้ไขปัญหาด้วยแล้ว
ด้านกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ได้รายงานด้านการสื่อสารโทรคมนาคมและสื่อสังคมออนไลน์ และได้พัฒนาแอปพลิเคชั่นสำหรับผู้กักกันตัว App หมอชนะ ซึ่งเปิดให้คนทั่วไปดาวน์โหลด และได้นำมาใช้งานในหลายจังหวัดแล้ว ส่วนกระทรวงพาณิชย์ได้ชี้แจงเรื่องหน้ากากอนามัย ชุด PPE ที่มีฐานรับสินค้าจากต้นทางและกระจายโดยไปรษณีย์ไทยเป็นไปอย่างราบรื่น ด้านสินค้าอุปโภค บริโภค มีเพียงพอ ราคาเหมาะสม ประชาชนเข้าถึงสินค้าได้ ทั้งนี้ ขอให้มั่นใจว่ากระทรวงพาณิชย์มีมาตรการดำเนินการในกรณีที่จำเป็น และได้จัดทำเจลล้างมือธงฟ้า ราคา 39 บาท กำลังกระจายไปทั่วทุกจังหวัด
ด้านกระทรวงคมนาคม ได้รายงานการดูแลระบบขนส่งสาธารณะ การทำความสะอาด ฆ่าเชื้อโรค การขนส่งทางอากาศ ซึ่งได้ปิดท่าอากาศยานแล้ว 16 แห่ง และยังเปิดอยู่ 12 แห่ง ในส่วนของระบบขนส่งมวลชน ได้พิจารณาเพิ่มรถ และเพิ่มความถี่เพื่อแก้ปัญหาความแออัด
ช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี ขอให้โฆษก ศบค.ขอบคุณประชาชน และผู้สนับสนุนภาคเอกชนที่ร่วมกันช่วยรัฐบาล ทั้งในสิ่งที่ขาดเหลือ และช่วยส่งเสริมมาตรการที่รัฐบาลดำเนินการอยู่.-สำนักข่าวไทย