กรุงเทพฯ 12 ก.พ.-ผู้ส่งออกข้าวหวั่นคู่แข่งมาก คุณภาพดี ราคาต่ำ ฉุดส่งออกข้าวไทยปีนี้เหลือเพียง 7.5 ล้านตัน แนะรัฐหาพันธุ์ข้าวนิ่มป้อนตลาดโลกด่วน
ร้อยตำรวจโทเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ภาคเอกชนยังคงประเมินการส่งออกข้าวไทยปีนี้ใกล้เคียงเดิมที่ 7.5 ล้านตันเท่านั้น หรือมีมูลค่ากว่า 4,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สอดคล้องกับเป้าหมายของกระทรวงพาณิชย์ และคาดการณ์ของกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา หรือ USDA (ยู-เอส-ดี-เอ) โดยยังเป็นอันดับ 2 รองจากอินเดีย ที่คาดว่าจะส่งออกได้ถึง 12 ล้านตัน ซึ่งปีที่ผ่านมาไทยส่งออกข้าวได้เพียง 7.58 ล้านตัน ลดลงจากปี 2561 ส่งออกได้ถึง 11 ล้านตัน ถือว่าต่ำสุดในรอบ 6 ปี นับจากปี 2556 ส่งออกได้เพียง 6.6 ล้านตัน และเดือนมกราคมปีนี้ส่งออกได้เพียง 570,000 ตัน ลดลงถึงร้อยละ 40 เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ ปัญหาหลักยังคงมาจากเงินบาทที่แข็งค่า แม้ขณะนี้เงินบาทจะอ่อนค่าลง แต่กลับทำให้ผู้ซื้อกังวลกับความผันผวน เพราะมีการปรับขึ้น-ลงเร็ว จึงอยากให้ค่าเงินมีเสถียรภาพมากกว่านี้ รวมทั้งหลายประเทศเริ่มผลิตข้าวเอง โดยเฉพาะจีนกลับมาเป็นคู่แข่งตลาดค้าข้าว จากปี 2562 ส่งออกข้าวได้เกือบ 3 ล้านตัน และยังมีสตอกในประเทศถึง 120 ล้านตัน สามารถใช้ได้อีก 2 ปี โดยไม่ต้องปลูกใหม่ หากมีการระบายจะทำตลาดยิ่งปั่นป่วน ขณะเดียวกันคุณภาพข้าวไทยไม่ได้รับการพัฒนามายาวนานมีเฉพาะข้าวพันธุ์พื้นแข็ง แต่หลายประเทศนิยมข้าวนิ่ม ทำให้มีข้าวจากประเทศอื่นมาทดแทนข้าวไทยทุกตลาด โดยภาครัฐเริ่มตื่นตัวพัฒนาพันธุ์ข้าวพื้นนิ่ม ตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และภาคเอกชนอยู่ระหว่างการเริ่มทดลองปลูกจะต้องเร่งให้มีการรับรองพันธุ์ ซึ่งคาดว่าไทยจะมีข้าวพันธุ์ใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดปลายปีนี้
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ปีนี้ไทยยังมีปัจจัยบวกจากตลาดอินโดนีเซียน่าจะกลับมาสั่งซื้อข้าวมากขึ้น เพราะสตอกในประเทศเริ่มลดลง ซึ่งคาดว่าน่าจะนำเข้าข้าวปีนี้ประมาณ 1 ล้านตัน ไทยจะได้รับประโยชน์ในการส่งออกข้าวขาวเพิ่มขึ้น และการระบาดของไวรัสโคโรนาหรือโควิด-19 ส่งผลให้มีการซื้อข้าวกักตุนและบริโภคในบ้านเยอะขึ้นทั้งในฮ่องกงและสิงคโปร์ ทำให้ตลาดมีการสั่งซื้อข้าวเพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่น่ากลัวจากปัญหาข้าวไทยมีราคาแพงกว่าคู่แข่งและคู่แข่งมีการพัฒนาคุณภาพข้าวดีขึ้นมาก โอกาสปีนี้ไทยอาจส่งออกมาอยู่อันดับ 3 โดยเวียดนามจะมาอยู่อันดับ 2 และอันดับ 1 อินเดีย ถือว่าเป็นประวัติการณ์ก็เป็นไปได้.-สำนักข่าวไทย