สธ.18ก.ย.-กรมการแพทย์ นำเทคโนโลยีหุ่นยนต์ฝึกเดินช่วยในการรักษาผู้ป่วยโรคทางระบบประสาท ‘โรคหลอดเลือดสมอง-ไขสันหลังบาดเจ็บ- เด็กสมองพิการ’ ทำให้กลับมาเดินได้เองมากกว่ากายภาพบำบัดอย่างเดียวและการยืนการทรงตัวของผู้ป่วยดีขึ้น
นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มีความห่วงใยสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะการเจ็บป่วยจากโรคทางระบบประสาท ซึ่งจากข้อมูลพบว่าในเขตภาคเหนือมีผู้ป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมองสูงเป็นอันดับ 1 จาก 5 อันดับของโรคทางระบบประสาทและเข้ารับการรักษาเป็นจำนวนมาก ซึ่งกรมการแพทย์มีหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคทางระบบประสาท จึงมอบนโยบายให้กรมการแพทย์ดูแลสุขภาพประชาชน โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการแพทย์มาปฏิรูประบบการทำงานของโรงพยาบาล โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligent : AI) ช่วยในการตรวจคัดกรองและวินิจฉัยโรค สร้างเครือข่ายการรักษาและให้บริการเฉพาะด้านครบวงจรให้ประชาชนได้รับบริการทางการแพทย์เฉพาะทางได้อย่างเท่าเทียม ลดภาระการเดินทาง ลดค่าใช้จ่ายและลดความแออัดในโรงพยาบาล
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า จากนโยบายที่ได้รับมอบหมาย กรมการแพทย์โดย รพ.ประสาทเชียงใหม่ ได้นำเทคโนโลยีหุ่นยนต์ฝึกเดิน (Robotic Gait Training) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยเป็นเครื่องแรกในภาคเหนือ ช่วยในการฝึกเดินสำหรับผู้ป่วยที่มีการอ่อนแรงของแขน ขา ยืน เดิน เคลื่อนไหวลำบาก เช่น ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ที่มีอาการอ่อนแรงครึ่งซีก โรคไขสันหลังบาดเจ็บระดับเอว หรือกรณีไขสันหลังบาดเจ็บระดับคอ ผู้ป่วยเด็กสมองพิการ และผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน เป็นต้น โดยหลักการทำงานของหุ่นยนต์ฝึกเดินจะเน้นการเคลื่อนไหวของขาโดยการเดินและควบคุมกล้ามเนื้อในรูปแบบที่ให้ทำซ้ำ ๆ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยมีความมั่นใจ เกิดการเรียนรู้ การก้าวเดินของขาทั้ง 2 ข้าง จะเป็นไปในรูปแบบที่ถูกต้องคล้ายธรรมชาติ ซึ่งทำให้ผู้ป่วยฝึกเดินได้นานขึ้นเมื่อเทียบกับการฝึกเดินแบบปกติ
ทั้งนี้ การฝึกเดินด้วยหุ่นยนต์ฝึกเดินร่วมกับการฝึกทางกายภาพบำบัด มีแนวโน้มจะทำให้ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองกลับมาเดินได้เองมากกว่าการฝึกทางกายภาพบำบัดเพียงอย่างเดียวและทำให้การทรงตัวดีขึ้น นอกจากนี้ในกลุ่มผู้ป่วยบาดเจ็บไขสันหลัง ผู้ป่วยเด็กสมองพิการ มีผลทำให้การทรงตัวในการยืนและการย้ายตัวของผู้ป่วยดีขึ้น ซึ่งกรมการแพทย์โดย รพ.ประสาทเชียงใหม่ ได้นำเทคโนโลยีดังกล่าวมาให้บริการประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อให้สามารถเข้าถึงและรับบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมกัน .-สำนักข่าวไทย