ผู้ตรวจการแผ่นดิน 13 ก.ย.-ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอนายกฯ สั่งขึ้นบัญชี “พาราควอต” วัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ห้ามนำเข้า หรือห้ามจำหน่าย ห้ามมีไว้ในครอบครอง ให้มีผลโดยเร็วตั้งแต่ 1 มกราคม 2563 ย้ำพาราควอตอันตรายต้องเลิกผลิตเลิกขาย
นายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน แถลงว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินมีมติส่งหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีในวันนี้ (13 ก.ย.) ขอให้นำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรี สั่งการให้กระทรวงอุตสาหกรรมออกประกาศ เพื่อปรับระดับการควบคุมพาราควอตให้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่4 หรือ ห้ามนำเข้า ห้ามจำหน่าย ห้ามมีไว้ในครอบครอง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป เนื่องจากเห็นว่าปัญหาการใช้สารเคมีพาราควอตยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง มีการใช้อย่างเสรีโดยยังไม่มีมาตรการควบคุมการใช้ในภาคการเกษตร ทำให้ผู้ใช้ขาดความระวังหรือป้องกันการปนเปื้อนสิ่งแวดล้อม เสี่ยงต่อชีวิตและร่างกายของผู้ใช้ ทั้งจากอุบัติเหตุและจากการสัมผัสสารเคมีปนเปื้อนทั่วไป ซึ่งผู้ตรวจฯ ได้มีข้อเสนอแนะให้หน่วยงานดำเนินการปรับปรุงประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อยกเลิกการใช้พาราควอตให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน นับแต่ธันวาคม 2561 ที่ผู้ตรวจฯ ได้มีหนังสือแจ้งครั้งแรก ต่อมากระทรวงอุตสาหกรรมแจ้งว่าคณะกรรมการวัตถุอันตรายยังคงอนุญาตให้ใช้สารพาราควอตได้ภายใต้มาตรการจำกัดการใช้ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งจะมีผลบังคับวันที่ 20 ตุลาคมนี้
“ที่ผ่านมา ผู้ตรวจฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงสาธารณสุขเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2562 ตามกระบวนการของกฎหมายของผู้ตรวจการแผ่นดิน และขอให้กระทรวงอุตสาหกรรมและคณะกรรมการวัตถุอันตรายดำเนินการออกประกาศให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน แต่กระทรวงอุตสาหกรรมแจ้งว่ายังไม่สามารถดำเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินได้ เรื่องนี้จึงยังไม่อาจหาข้อยุติได้ ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงต้องดำเนินการตามกฎหมายเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการ” นายรักษเกชา กล่าว
นายรักษเกชา กล่าวด้วยว่า หนังสือของผู้ตรวจฯ ถึงนายกรัฐมนตรี จะมีรายละเอียดถึงความเป็นอันตราย ความเสี่ยงต่อภัยที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน หากยังคงให้มีการใช้สารอันตรายดังกล่าว และเน้นย้ำถึงหน้าที่ของรัฐที่จะต้องตระหนักถึงพิษร้ายของสารเคมีที่ทำให้ประชาชนมีโอกาสเจ็บป่วยเรื้อรัง สูญเสียชีวิตและร่างกาย หรือการบริโภคผลผลิตทางการเกษตรหรือสัตว์น้ำจากแหล่งน้ำในพื้นที่เกษตรกรรมที่มีสารพิษตกค้าง หรือแม้กระทั่งการถ่ายทอดสารพิษตกค้างจากมารดาสู่ทารกในครรภ์ รวมถึงกรณีตัวอย่างผู้ได้รับพิษของวัตถุอันตรายพาราควอต จนถึงแก่ชีวิตเกิดขึ้นแล้วในพื้นที่จังหวัดตาก
นายรักษเกชา กล่าวอีกว่า อีกทั้งกระทรวงสาธารณสุขมีความเห็นยืนยันอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนจากวัตถุอันตรายพาราควอต ส่งผลต่ออันตรายหลายระบบอวัยวะ ทั้งตา จมูก ปาก ผิวหนัง ปอด หัวใจ ตับ ไต สมอง และระบบประสาทส่วนกลาง หากได้รับในปริมาณมาก ส่งผลให้เกิดภาวะพังผืดในปอด หอบเหนื่อย ริมฝีปากสีคล้ำ ปอดบวมน้ำจนถึงเลือดออกในเนื้อเยื่อปอด ระบบทางเดินหายใจล้มเหลว ตับจะถูกทำลาย ทำให้เกิดอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ตับอักเสบได้ และถ้ามีการทำลายที่ไต จะทำให้สูญเสียความสมดุลของภาวะกรด ด่าง และน้ำในร่างกาย ทำให้เกิดมีสภาพเป็นกรดมากขึ้น เกิดน้ำคั่งในร่างกาย ปัสสาวะออกน้อยลง จนถึงไตวายเฉียบพลัน นำไปสู่การเสียชีวิต
“ดังนั้น การปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยกำหนดนโยบายระดับประเทศเพื่อยกเลิกการใช้วัตถุอันตรายพาราควอตย่อมเกิดประโยชน์ต่อประชาชน และเป็นการเริ่มต้นที่สำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภา ซึ่งได้กำหนดเป็นนโยบายเร่งด่วนในเรื่องการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและพัฒนานวัตกรรม โดยหน่วยงานของรัฐย่อมสามารถใช้ระยะเวลาช่วงเปลี่ยนผ่านพัฒนานวัตกรรมกำจัดวัชพืชที่มีประสิทธิภาพปลอดภัยต่อสุขภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อใช้ทดแทนสารเคมีได้ นอกจากนี้จะส่งหนังสือเร่งรัดให้รัฐมนตรีอุตสาหกรรม และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินให้มีผลโดยเร็ว” นายรักษเกชา กล่าว
นายรักษเกชา กล่าวอีกว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีได้รับหนังสือแล้ว คงจะนำเข้าหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีและสั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งตามมาตรา 33 วรรคหนึ่งของ พ.ร.ป.ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน ก็เขียนเปิดช่องไว้ว่า หากหน่วยงานของรัฐไม่ดำเนินการโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้ถือว่าเรื่องนี้ถูกหน่วยงานของรัฐนั้นจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ทำให้เกิดความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง และให้ผู้ตรวจฯ แจ้งให้ ป.ป.ช.ดำเนินการ โดยให้ถือรายงานของผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นสำนวนในการสอบสวน.-สำนักข่าวไทย