กรุงเทพฯ 19 ส.ค. – กฟผ.มั่นใจหยุดผลิตก๊าซฯ จากแหล่งเจดีเอ 20 – 31 ส.ค.นี้ ไม่กระทบการผลิตไฟฟ้า ใช้ดีเซลแทน วอนลดการใช้ไฟฟ้าให้ระบบมั่นคง
นายสุธน บุญประสงค์ รองผู้ว่าการระบบส่ง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวถึงกรณีการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติจากแหล่งพัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (JDA – A18) ช่วงวันที่ 20 – 31 สิงหาคมนี้ เพื่อบำรุงรักษาประจำปี ว่า ทำให้ปริมาณก๊าซธรรมชาติหายไปจากระบบ 421 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน กฟผ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมมาตรการรองรับทุกด้าน ทั้งด้านผลิตไฟฟ้า ระบบส่งและเชื้อเพลิง พร้อมขอความร่วมมือประชาชน ภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าช่วงการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติดังกล่าว เพื่อเสริมความมั่นคงของระบบไฟฟ้าอีกทางหนึ่ง
นายสุธน กล่าวต่อไปว่า การหยุดจ่ายก๊าซฯ จากแหล่ง JDA – A18 จะเริ่มวันที่ 20 สิงหาคม 2559 ซึ่ง กฟผ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ประสานการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะด้านเทคนิค จึงไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ที่สำคัญ คือ โรงไฟฟ้าจะนะ ชุดที่ 1 ของ กฟผ.พร้อมเดินเครื่องด้วยน้ำมันดีเซลแทน ซึ่งได้ดำเนินการทดสอบเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งยังตรวจสอบโรงไฟฟ้าภาคใต้ทั้งหมดให้พร้อมใช้งาน งดการหยุดเดินเครื่องเพื่อบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าภาคใต้ในช่วงหยุดจ่ายก๊าซฯ และประสานการไฟฟ้ามาเลเซียขอซื้อไฟฟ้าในกรณีฉุกเฉิน
สำหรับด้านระบบส่งได้ให้ความสำคัญกับระบบส่งเชื่อมโยงภาคกลาง – ภาคใต้และระบบส่งในเขตภาคใต้เอง ส่วนด้านเชื้อเพลิงมีการสำรองน้ำมันที่โรงไฟฟ้ากระบี่ โรงไฟฟ้าจะนะ โรงไฟฟ้ากังหันก๊าซสุราษฎร์ธานี เต็มความสามารถในการจัดเก็บ เพื่อให้มีปริมาณเชื้อเพลิงเพียงพอต่อการใช้งาน อย่างไรก็ตาม กฟผ.ไม่ประมาท เตรียมทีมงานติดตามสถานการณ์ ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดในช่วง 12 วันนับจากวันนี้จนกว่าจะกลับมาจ่ายก๊าซได้ตามปกติ
ทั้งนี้ กฟผ.ขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนช่วยกันประหยัดพลังงานในช่วงเวลาที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง ช่วงเวลา 18.00 – 21.30 น. ระหว่างการหยุดจ่ายก๊าซวันที่ 20 – 31 สิงหาคม 2559 เพื่อความมั่นคงเชื่อถือได้ของระบบผลิตไฟฟ้าของภาคใต้และภาพรวมของประเทศเป็นสำคัญ สามารถติดตามสถานการณ์การผลิตและส่งจ่ายไฟฟ้าได้ที่ https://www.sothailand.com/jdashutdown/ การหยุดจ่ายก๊าซจากแหล่งพัฒนาร่วมไทย – มาเลเซีย (JDA-A18) เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในขณะที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าในภาคใต้เติบโตเฉลี่ยมากกว่าร้อยละ 5 ต่อปี จึงมีความจำเป็นในการจัดหาแหล่งผลิตไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้เพิ่มเติม เพื่อให้ระบบไฟฟ้าภาคใต้มีเพียงพอและมั่นคงในระยะยาว โดยต้องมีการกระจายเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าให้สมดุล.-สำนักข่าวไทย