สำนักข่าวไทย 25 มี.ค.-นักวิชาการชี้ วิธีคิดเเละการทำงานการเมืองเเบบใหม่ หัวใจสำคัญให้ ‘อนาคตใหม่’ ประสบความสำเร็จ ติด Top3 คะเเนน เสียงสูง เเซงหน้าพรรคใหญ่หน้าเดิม สะท้อนสังคมเปิดกว้างคนทุกช่วงวัยอยากเห็นความต่าง แนะพรรคระวังการตีกลับของกระเเสหากนโยบายที่เสนอทำไม่ได้จริง
นายยุทธพร อิสรชัย อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคอนาคตใหม่ พรรคการเมืองน้องใหม่ได้รับคะเเนนเลือกตั้งเป็นอันดับ 3 ของประเทศ นำพรรคประชาธิปัตย์เเละพรรคภูมิใจไทยขาดลอย ว่า เรื่องนี้พอคาดหมายได้ เพราะในกระเเสความเปลี่ยนแปลง ณ วันนี้ มีความเปลี่ยนค่อนข้างมากในช่วง 7-8 ปีที่ไม่ได้มีการเลือกตั้ง ในกรณีอนาคตใหม่เป็นพรรคการเมืองที่ตั้งใหม่ มีวิธีคิด วิธีการทำงานการเมืองที่ค่อนข้างใหม่ ซึ่งสามารถตอบสนองการเปลี่ยนเเปลงเหล่านี้ได้ดี
ความเปลี่ยนเเปลงดังกล่าว ประกอบด้วย 2 เรื่องใหญ่ เรื่องเเรก ความเปลี่ยนเเปลงเชิงโครงสร้างประชากร วันนี้เรามีกลุ่มผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งที่หลากหลาย มีทั้งกลุ่มแรกที่เป็น First Voter ซึ่งเลือกตั้งครั้งแรกอายุ 18-25 ปี คนกลุ่มนี้มีวิธีคิดทางการเมืองรูปแบบหนึ่ง
กลุ่มที่สองYoung Voter อายุ 26-45 ปี เป็นกลุ่มที่น่าสนใจ เติบโตมาใน ช่วง10 ปีที่มีความขัดเเย้งทางการเมือง ซึ่งได้รับผลกระทบทางการเมืองโดยตรง จึงทำให้มีภูมิทัศน์ทางการเมืองที่เปลี่ยนไป เพราะอาจเห็นว่าการเมืองหยุดนิ่งมานาน ไม่อยากอยู่ในวังวนความขัดเเย้งเหมือนเดิมอีก , เฉพาะกลุ่มที่ 1เเละ 2 รวมกัน 27 ล้านเสียง
ขณะที่กลุ่มที่ 3 กลุ่มวัยกลางคน อายุ 46-60 ปี มีบางส่วนที่มีทัศนคติที่ผูกพันกับกลุ่มการเมืองเก่าเเละสุดท้ายกลุ่ม Senior voter หรือกลุ่มอาวุโส ซึ่งออกไปใช้สิทธิจำนวนไม่น้อย ซึ่งความเปลี่ยนเเปลงเชิงโครงสร้างประชากรทำให้ภาพรวมผลการเลือกตั้งทั้ง 4 กลุ่ม มีความหลากหลายมาก มีทั้งพรรคการเมืองเก่าที่ตรึงทางเสียงได้ เช่น เพื่อพรรค หรือพรรคใหม่ที่ใช้ยุทธศาสตร์ในการรวบรวมบรรดาเครือข่ายในการดึง ส.ส.ทำคะเเนนเสียง อย่าง พลังประชารัฐ , พื้นที่พรรคการเมืองใหม่ อย่างอนาคตใหม่ เพราะในช่วงที่ผ่านมา เราไม่เห็นพรรคการเมืองเดิมทำงานการเมืองในรูปแบบใหม่เลย จนทำให้การทำงานการเมืองเเบบเก่า ไม่สามารถดึงคะเเนนเสียงของบรรดาคนรุ่นใหม่ได้ คะเเนนเหล่านี้จึงไปตกที่พรรคการเมืองที่ตั้งใหม่
อย่างไรก็ตาม ในบรรดากลุ่มVoter เเต่ละกลุ่มก็ไม่ได้มีทิศทางไปทางเดียว กันทั้งหมด บางครั้งคนรุ่นใหม่เเต่มีความคิดอนุรักษ์นิยมก็มี คนรุ่นเก่าเเต่ความคิดหัวก้าวหน้าก็มี ดังนั้นในกรณีอนาคตใหม่ จึงสามารถเก็บคะแนนได้จากหลายกลุ่ม ซึ่งสะท้อนจากที่พรรคได้พื้นที่ใน ส.ส.เขตด้วย จากเดิมที่คาดว่าจะได้แค่ปาร์ตี้ลิสต์ ซึ่งตรงนี้มาจากความสำเร็จมีวิธีการทำงานที่มีการรับสมัครผู้สมัคร ส.ส.เเบบเเบ่งเขตเลือกตั้ง โดยเปิดโอกาสให้บุคคลซึ่งเป็นหน้าใหม่ทางการเมือง ไม่มีเครือข่ายในพื้นที่ เเต่สามารถสมัครได้ผ่านเว็บไซต์ ซึ่งพรรคมีกระบวนการคัดสรรบุคลากรเหล่านี้ สะท้อนภาพการทำงานการเมืองเเบบใหม่ ทั้งทำให้คนรู้สึกมีความเป็นส่วนร่วม ซึ่งถือเป็นการสร้างฐานเสียงไปในตัว ความสดใหม่ของพรรคการเมืองของผู้สมัครในเเต่ละพื้นที่ทำให้น่าสนใจ ไม่เคยมีประเด็นความขัดเเย้งมาก่อน ทำให้บางพื้นที่พรรคอนาคตใหม่ไม่จำเป็นต้องหาเสียงเลยก็ได้ จึงย้ำว่าเป็นการใช้ความคิดในการทำงานการเมืองไม่ได้ใช้เครือข่ายการเมืองสร้างคะเเนนเสียง
ขณะเดียวกันความเปลี่ยนเเปลงอีกด้าน คือความเปลี่ยนเเปลงด้านเทคโนโลยี ทำให้กระบวนการหาเสียงต่างจากเดิม อาจไม่จำเป็นต้องเดินลงพื้นที่เคาะประตูบ้านเพียงอย่างเดียวใช้การหาเสียงผ่านสื่อโซเซียลมีเดีย ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ สร้างภาพลักษณ์หัวหน้าพรรคให้โดดเด่นผ่านขบวนการดีเบตต่างๆ ซึ่งทั้งสองความเปลี่ยนเเปลงเป็นส่วนที่อนาคตใหม่สามารถกำหนดวิธีทำงานทางการเมืองให้สอดรับการเปลี่ยนเเปลงได้ จึงเป็นปัจจัยเเห่งความสำเร็จของอนาคตใหม่ในการเลือกตั้งครั้งนี้
นายยุทธพร กล่าวต่อไปว่า พรรคอนาคตใหม่มาถูกที่ถูกเวลา มาในช่วงคนเบื่อหน่ายพรรคการเมืองเเบบเก่า เมื่อผลคะเเนนได้ที่นั่ง ส.ส.ในเเต่ละพื้นที่ เเละส.ส.บัญรายชื่อรวมกัน 80 กว่าที่นั่ง ซึ่งถือว่าเยอะมากสำหรับพรรคการเมืองที่ตั้งใหม่ มุมหนึ่งสะท้อน คนเเต่ละกลุ่มมีการเปิดใจรับมากขึ้น มีความหลากหลายทางความคิด ส่งผลให้อนาคตของการเมืองไทยไม่เหมือนเดิม ความเปลี่ยนแปลงในไทยจะไม่เหมือนอดีต หากพรรคใดต้องการประสบความสำเร็จจึงต้องเปลี่ยนวิธีคิดย้อนกลับไปเหมือนกับการเมืองในปี 2544 ในเวลานั้นเมื่อมีพรรคการเมืองที่หยิบจับการตลาดทางการเมืองมาใช้ ก็ได้รับเสียงตอบรับดี หลายพรรคทำตาม เเต่วันนี้เกือบ 20 ปี การทำงานโดยการตลาดอาจไม่ประสบความสำเร็จ เเต่ใช้การเมืองมิติใหม่ อาจเป็นคำตอบใหม่ของการเมือง มองมิติหลากหลาย อาทิ ไม่ใช่เเค่การเมืองในสภา เเต่เป็นการเมืองสิ่งแวดล้อม พลังงาน เพศสภาพ ความเสมอภาค ซึ่งประเด็นเหล่านี้เป็นประเด็นที่อนาคตใหม่นำมาเป็นนโยบาย ความสำเร็จของการคิดเเละการทำงานเเบบใหม่ จึงหัวใจหลักของอนาคตใหม่ ซึ่งพรรคการเมืองเดิมเปลี่ยนได้ยาก เนื่องจากวัฒนธรรมองค์กรเดิม ระบบอาวุโสต่างๆในพรรค การทำงานเเบบเดิมๆ
อย่างไรก็ตามหากมองอนาคตของพรรคอนาคตใหม่ ที่มีนโยบายหลายด้าน ซึ่งค่อนข้างเปลี่ยนโครงสร้างสังคมการเมือง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายนัก หลังจากนี้ไปพรรคอนาคตใหม่ต้องระวัง คือการพลิกกลับของคะเเนนนิยม เพราะถ้าสุดท้าย สิ่งที่เสนอเเล้วทำไม่ได้ เรื่องความคาดหวังทางการเมืองจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับพรรค เเละพรรคเองยังเป็นคนหน้าใหม่สำหรับการเมือง ยังไม่เคยสัมผัสการเมืองในเเบบรัฐสภา ที่ข้อจำกัดทางการเมืองมีมาก ไม่ว่าจะเรื่องกฎหมาย วิธีการทำงานหรือกลไกระบบรัฐสภา พรรคจะมีวิธีการอย่างไรที่จะทะลุข้อจำกัดเหล่านี้ได้ เพราะไม่อย่างนั้นการเลือกตั้งครั้งต่อไป จะถูกตั้งคำถามว่าสิ่งที่ได้เสนอจะทำได้จริงหรือไม่.-สำนักข่าวไทย