กรมการแพทย์ 6 ธ.ค.-กรมการแพทย์น้อมนำกระแสพระราชดำรัสในหลวงรัชกาลที่ 9 เตรียมพัฒนาเจลลี่โภชนารสข้าวมันไก่ แกงมัสมั่น แกงส้ม รสข้าว รสนม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีผู้ป่วยมะเร็งช่องปาก
นพ.ธีรพล โตพันธานนท์ อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)กล่าวว่า โรคมะเร็งช่องปากจัดอยู่ในกลุ่มมะเร็งศีรษะและลำคอ จากสถิติข้อมูลทะเบียนมะเร็งระดับโรงพยาบาลปี 2557 ของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์พบว่ามะเร็งริมฝีปากและช่องปาก จัดอยู่ใน 10 อันดับแรก ของโรคมะเร็ง โดย ประชากรไทย 100,000 คนโดยเฉลี่ยพบผู้ป่วยมะเร็งศีรษะและลำคอ 16 คน เสียชีวิตถึง 7 คน และกว่าร้อยละ 60 ของผู้ป่วยมีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป ซึ่งการรักษาหากผ่าตัดไม่ได้ต้องให้เคมีบำบัดพร้อมการฉายรังสี คนไข้ส่วนใหญ่ก้อนเนื้อจะยุบลง แต่เกิดอาการแทรกซ้อนในระหว่างรักษา คือการอักเสบต่อเนื้อเยื่อบริเวณเยื่อบุในช่องปากเหงือกและผิวหนัง บางครั้งจะมีการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา การให้เคมีบำบัดและการฉายรังสีจะใช้ระยะเวลา 7 สัปดาห์ในช่วงนี้ผู้ป่วยจะรับประทานอาหารได้น้อย ลง ขาดพลังงาน แคลอรีไม่พอ ดื่มน้ำไม่ได้ และมีปัญหาเรื่องตัวแห้ง ในอดีตจะได้รับอาหารทางสายยางเข้าไปทางจมูกเพื่อให้อาหารเหลวลงไปถึงกระเพาะอาหาร แต่วิธีการนี้สร้างความทุกข์ทรมานให้แก่ผู้ป่วย
นพ.ธีรพล กล่าวต่อไปว่า ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงห่วงใยผู้ป่วยที่กลืนอาหารไม่ได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งช่องปาก รวมทั้งผู้สูงอายุที่มีปัญหาในการเคี้ยวและการกลืน นำไปสู่อาหารพระราชทาน ‘เจลลี่โภชนา’ นวัตกรรมอาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็งช่องปาก ทำให้คุณภาพชีวิตในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งและโรคอื่นๆ ในช่องปากดีขึ้น ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีลักษณะนิ่ม กลืนง่ายและมีสารอาหารให้พลังงานที่เหมาะสม โดยเมื่อวันที่ 4 ก.ค.2554 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คณะกรรมการมูลนิธิทันตนวัตกรรม ในพระบรมราชูปถัมภ์ พร้อมคณะผู้วิจัยเข้าเฝ้ากราบบังคมทูลผลการดำเนินงาน และถวายรายงานโครงการนวัตกรรมอาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็งช่องปาก พร้อมทูลเกล้าฯ ถวายผลิตภัณฑ์ “เจลลี่โภชนา”พระองค์ทรงซักถามและมีพระราชวินิจฉัยว่า “อาหารผู้ป่วยดีอย่างเดียวไม่ได้ ต้องอร่อยด้วยเพราะผู้ป่วยมีความทุกข์ทางร่างกายอยู่แล้ว” ซึ่งนอกจากรสมะม่วงและรสชานม ควรจะมีเจลลี่รสต้มยำ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์เจลลี่มีรสชาติที่หลากหลาย ผู้ป่วยสามารถรับประทานได้อย่างต่อเนื่อง
ด้าน นพ.ธนเดช สินธุเสก ผอ.โรงพยาบาลมหาวชิราลงกรณธัญบุรี กล่าวเพิ่มเติมว่า โรงพยาบาลเป็นหน่วยงานเฉพาะทางโรคมะเร็งที่มีความเป็นเลิศด้านวิชาการ มุ่งเน้นมาตรฐานความปลอดภัย ใส่ใจคุณภาพชีวิต โดยรักษาคนไข้ที่เป็นโรคมะเร็งในทุกอวัยวะ ด้วยการฉายรังสีและเคมีบำบัด ทั้งนี้โรคมะเร็งศีรษะและลำคอที่พบว่าเป็นบ่อยในคนไทย เช่น มะเร็งโพรงหลังจมูก มะเร็งในช่องปาก และอาจเป็นได้หลายตำแหน่ง เช่น ริมฝีปาก ลิ้น ฐานลิ้น กระพุ้งแก้ม เหงือก จึงน้อมนำกระแสพระราชดำรัสที่มีความห่วงใยต่อผู้ป่วยโรคมะเร็งช่องปาก โดยนำเจลลี่โภชนาอาหารพระราชทานมาให้บริการผู้ป่วยมะเร็งช่องปาก ตามพระราชประสงค์ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารเพียงพอและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
นพ.ธนเดช กล่าวต่อว่า ผลการศึกษานำร่อง ภาวะโภชนาการของผู้ป่วยโรคมะเร็งศีรษะและลำคอ โดยรวบรวมข้อมูลจากแฟ้มประวัติผู้ป่วย 11 ราย ที่มารับรังสีรักษาแบบระยะยาว พบว่าภายใน 3 สัปดาห์ หลังรับรังสีผู้ป่วยจะมีน้ำหนักตัวลดลงประมาณ 3-4 กิโลกรัม โดยน้ำหนักที่ลดรุนแรงสัมพันธ์กับการอักเสบเป็นแผลในปาก ขณะที่ผลการประเมินประสิทธิผลของเจลลี่โภชนาต่อภาวะโภชนาการผู้ป่วยโรคมะเร็งศีรษะและลำคอ 68 ราย พบว่าผู้ป่วยที่รับประทานต่อเนื่องมีน้ำหนักตัวลดลงน้อยกว่าผู้ไม่รับประทานหรือไม่ต่อเนื่อง และการประเมินประสิทธิผลของเจลลี่โภชนาต่อคุณภาพชีวิต พบว่าผู้ป่วยที่ไม่รับประทานมีคุณภาพชีวิตที่แย่ลงกว่าผู้ป่วยที่รับประทานเจลลี่โภชนาอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับการพัฒนาเจลลี่โภชนาในโครงการต่อไปจะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เจลลี่โภชนาให้มีรสชาติที่หลากหลายเพื่อให้ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องรับประทานอย่างต่อเนื่อง ไม่รู้สึกจำเจและเกิดความอยากอาหาร โดยพัฒนารสชาติอื่นๆเช่น รสข้าวมันไก่ แกงมัสมั่น แกงส้ม เป็นต้น รวมถึงพัฒนาให้มีรสธรรมชาติ เช่น รสข้าว รสนม นอกจากนี้จะปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ชนิดถ้วยแบบปลอดเชื้อ ซึ่งจะสะดวกต่อการรับประทาน และในอนาคตจะพัฒนานวัตกรรมอาหารต้านมะเร็งช่องปากอีกด้วย .-สำนักข่าวไทย