กรุงเทพฯ 20 ก.พ. – PTTGC กำไรปี 61 เพิ่มร้อยละ 2 แม้ไตรมาส 4 ขาดทุนสตอกกว่า
6 พันล้านบาท คาดปี 62 ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ย 64-69 เหรียญ/บาร์เรล
บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) แจ้งผลประกอบการปี
2561 มีรายได้จากการขาย 515,449 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 มีกำไรสุทธิรวม 40,069
ล้านบาท (8.89 บาท/หุ้น) ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จ่ายปันผล 2.50 บาทต่อหุ้น
โดยในส่วนของผลประกอบการไตรมาส 4/2561 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 128,874
เพิ่มขึ้น จากไตรมาส 4/2560 ร้อยละ 9 แต่ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ ร้อยละ 6
โดยรายได้ที่ลดลงเป็นผลจากราคาน้ำดิบปรับตัวลดลง และผลิตภัณฑ์ปรับตัวลดลงทิศทางเดียวกัน
ขาดทุนของสินค้าคงคลังสุทธิ 6,524 ล้านบาท
จากการปรับลดลงของราคาน้ำมันดิบดูไบ ดูไบจากค่าเฉลี่น 74.28 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาส
3/2561 มาอยู่ที่ 67.42 เหรยีญต่อบาร์เรล ในไตรมาส 4/2561
PTTGC
คาดการณ์แนวโน้มตลาดน้ำมันปี 2562
ราคาน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ที่ค่าเฉลี่ย 64-69 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
โดยสำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันของโลกปีนี้ที่ระดับ
100.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยตลาดยังมีความไม่แน่นอนทั้งจากนโยบายตอบโต้ภาษีการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจ ประกอบกับ ความกังวลเศรษฐกิจโลกอาจกดดันความต้องการใช้น้ำมัน
และแม้ว่าทางกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก)
และรัสเซียมีความพยายามหาข้อตกลงในการลดกำลังการผลิต แต่ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐที่มีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจะเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันไม่ให้ปรับตัวเพิ่มสูงมาก
สำหรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม
บริษัทคาดว่าส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลกับน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยจะอยู่ที่ 15.1
เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการของ International Marine Organization
(IMO) ในการควบคุมระดับกำมะถันในน้ำมันเตาที่ใช้ในอุตสาหกรรมเดินเรือ
ทำให้มีความต้องการในการใช้น้ำมันดีเซลเข้าไปผสมเพื่อให้ได้มาตรฐาน ขณะที่ส่วนต่างราคาน้ำมันเตาและแก๊สโซลีนคาดว่าจะมีการปรับตัวลดลง
โดยคาดว่าจะมีการปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ประมาณติดลบ 4.9 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และ 5
เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
ส่วนน้ำมันเตา คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการดำเนินตามนโยบาย IMO โดยคาดว่าจะเห็นผลกระทบที่ชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปี
2562
ขณะที่น้ำมันแก๊สโซลีนยังได้รับปัจจัยกดดันจากระดับสินค้าคงคลังที่สูงและปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากการใช้กำลังการผลิตในระดับสูงของโรงกลั่นในภูมิภาคอเมริกาเหนือ
ทั้งนี้
ในส่วนของการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นน้ำมันคาดว่าจะสามารถดำเนินการผลิตได้ร้อยละ
86 จากการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนในไตรมาส 4 ประมาณ 2 เดือน
ส่วนแนวโน้มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์คาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์พาราไซลีน
(PX) กับคอนเดนเสทปี 2562
จะอยู่ที่ประมาณ 488 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งแม้ว่าจะมีอุปทานที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น
จากผู้ผลิตรายใหม่ในประเทศจีน แต่อุปสงค์จากภาคอุตสาหกรรมเส้นใยและสิ่งทอ (Fiber
Filament) กรดเทเรฟทาริคบริสุทธิ์ (PTA) และขวดบรรจุภัณฑ์
(PET Bottle Resin) ยังคาดว่าจะมีการเติบโตที่ดี
โดยเฉพาะจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในประเทศจีน
แม้ว่าจะเผชิญแรงกดดันจากนโยบายตอบโต้ทางภาษีการค้า
ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจมหภาค
สำหรับส่วนต่างของราคาเบนซีนและคอนเดนเสทจะอยู่ที่ประมาณ 120
เหรียญสหรัฐต่อตัน โดยคาดว่าอุปสงค์ของผลิตภัณฑ์เบนซีนจะปรับตัวดีขึ้นกว่าอุปทานใหม่ที่จะเข้ามาในตลาด
โดยเฉพาะในประเทศจีน เกาหลี และอินเดียที่คาดว่าความต้องการผลิตภัณฑ์ขั้นกลาง เช่น
สไตรีนโมโนเมอร์ (Styrene monomer) ฟีนอลและไซโคลเฮกเซนจะเพิ่มสูงขึ้น
สำหรับปีนี้บริษัทมีแผนการปิดซ่อมบำรุงเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของหน่วยผลิตอะโรเมติกส์
1 ในปีนี้ในไตรมาสที่ 1 และภายหลังการซ่อมบำรุงเสร็จสิ้น
คาดว่าจะสามารถเดินเครื่องในอัตราการผลิตที่ดียิ่งขึ้น
ซึ่งช่วยลดผลกระทบจากการหยุดซ่อมบำรุงในช่วงดังกล่าวได้
สำหรับการใช้กำลังการผลิตในปี 2562 บริษัทคาดการณ์การใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ร้อยละ
87
แนวโน้มของสถานการณ์ผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องมีแนวโน้มอ่อนตัวลง
โดยคาดว่าราคาเฉลี่ยเม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีนจะอยู่ประมาณ 1,147 เหรียญสหรัฐต่อตัน
โดยได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงจากปีก่อนหน้า ขณะที่อุปสงค์ของผลิตภัณฑ์อาจได้รับผลกระทบของเศรษฐกิจโลกจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
และมีการชะลอตัวเพื่อดูความชัดเจนถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
หรือการเปลี่ยนแปลงนโยบายในอนาคต
ขณะที่สถานการณ์ราคา MEG คาดว่าจะมีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากปีก่อนหน้า
ซึ่งปัจจัยสำคัญมาจากปริมาณอุปทานมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากกำลังการผลิตใหม่ที่เริ่มทยอยเข้าสู่ตลาดตั้งแต่ปลายปี
2561 จากทวีปอเมริกาและจีน
แต่ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์การใช้งานของตลาดผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ โดยเฉพาะ Polyester
ในจีนยังคงเติบโตได้ตามสภาพเศรษฐกิจของประเทศ บริษัทคาดว่าราคา MEG
ASP เฉลี่ยจะอยู่ประมาณ 706 เหรียญสหรัฐต่อตัน
สำหรับกำลังผลิตของธุรกิจโอเลฟินส์ของบริษัทคาดจะอยู่ที่ร้อยละ 101
และคาดกำลังการผลิตของธุรกิจโพลิเมอร์จะอยู่ที่ร้อยละ 101.-สำนักข่าวไทย