รพ.จุฬาฯ 18 ธ.ค.-รพ.จุฬาฯ แถลงทายาทเด็กหลอดแก้วคนแรกของไทย หลังติดตามเด็กหลอดแก้วคนแรกจนมีบุตรตามธรรมชาติ ย้ำคนไทยขณะนี้อัตราการเกิดลดลง หนุนนำเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์เข้าสิทธิประโยชน์หลักประกันสุขภาพ ช่วยแก้ปัญหาการมีบุตร และอัตราเกิดน้อยในไทย
รศ.นพ.กำธร พฤกษานานนท์ อาจารย์แพทย์ฝ่ายสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมด้วยนายปวรวิชญ์ ศรีสหบุรี เด็กหลอดแก้วคนแรกของประเทศไทย และศ.กิตติคุณ นพ.ประมวล วีรุตมเสน ที่ปรึกษาหน่วยชีว วิทยาการเจริญพันธุ์ ฝ่ายสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย แถลงข่าว “ทายาทเด็กหลอดแก้วคนแรกของไทย”
โดย นพ.กำธร กล่าวว่า หลังจากผ่านการเกิดของเด็กหลอดแก้วคนแรกของไทย เมื่อปี 2530 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ก็ยังเฝ้าติดตามสุขภาพของเด็กหลอดแก้วคนแรกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากการติดตามพบว่านายปวรวิชญ์ หรือ ‘มุ้งมิ้ง’ มีสุขภาพและพัฒนาการดีอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ที่ผ่านมาก็ได้ให้กำเนิดทายาทโดยธรรมชาติ ซึ่งทำให้เห็นว่า เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์นี้ เป็นขั้นตอนการเจริญพันธุ์ ตามธรรมชาติได้ตามปกติ ซึ่งเรื่องนี้เทียบเท่ากับต่างประเทศ ที่เด็กหลอดแก้วคนแรกของโลกก็สามารถมีบุตรได้ตามปกติเช่นกัน
นพ.กำธร กล่าวด้วยว่า ขณะนี้อัตราการเกิดของไทยลดลงเหลือร้อยละ1.5 สูงกว่าสิงคโปร์เล็กน้อย ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะทำให้ไทยถูกผลักเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเร็วขึ้น ในต่างประเทศมีการเสนอให้นำเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์บรรจุในชุดสิทธิประโยชน์ของหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เนื่องจากองค์การอนามัยโลกกำหนดให้อัตราการเกิดควรอยู่ที่ ร้อยละ 2.1
ด้านนายปวรวิชญ์ กล่าวว่า สุขภาพร่างกายของตนแข็งแรงมาโดยตลอด ส่วนตัวชอบออกกำลัง เมื่อมีครอบครัว ก็มีความห่วงกังวลเล็กน้อย ว่า จะสามารถมีบุตรตามธรรมชาติได้ตามปกติหรือไม่ ซึ่งก็เป็นความโชคดีที่ตนและภรรยา ามารถมีบุตรได้ตามธรรมชาติ
ขณะที่ ศ.กิตติคุณ นพ.ประมวล กล่าวว่า สิ่งที่ยังห่วงกังวลขณะนี้คือเรื่องของการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์อย่างฟุ่มเฟือย อยากให้แพทย์พิจารณาใช้ความรู้ช่วยเหลือเรื่องการเจริญพันธุ์อย่างเหมาะสม เริ่มจากการใช้องค์ความรู้ปรับแก้ไขพฤติกรรม สร้างร่างกายแข็งแรงก่อนมีบุตร และสิ่งสำคัญคือการใช้เทคโนโลยี ต้องคำนึงถึงหลายอย่างและต้องรู้ว่า ใช่ว่าทุกคนจะสามารถมีบุตรได้ เมื่อถึงที่สุดแล้วก็ควรหยุด โดยร้อยละ30 ของคู่สมรสใช่ว่าทุกคนจะสามารถมีบุตร.-สำนักข่าวไทย