เร่งปลูกข้าวโพดหลังนา ครม.ขยายพื้นที่ปลูก

กรุงเทพฯ 14 ธ.ค. –  ก.เกษตรฯ เร่งเชิญชวนเกษตรกรเข้าร่วมโครงการปลูกข้าวโพดหลังนา หลัง ครม.ขยายพื้นที่ปลูก 4 จังหวัด  โดยอยู่ในเงินงบประมาณตามโครงการฯ ที่ได้รับอนุมัติไปก่อนหน้านี้แล้ว


นายสำราญ สารบรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า ครม.มีมติอนุมัติขยายพื้นที่โครงการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนาเพิ่ม 4 จังหวัดตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ  เนื่องจากขยายเวลารับสมัครจากเดิมสิ้นสุดวันที่ 15 พฤศจิกายน 2561 เป็น 15 มกราคม 2562 และพบว่ามีจังหวัดที่มีศักยภาพปลูกข้าวโพดและมีน้ำเพียงพอต่อการเพาะปลูกข้าวโพด โดยมีผู้ประกอบการที่มีความพร้อมรับซื้อผลผลิต พร้อมทั้งเกษตรกรมีประสบการณ์ปลูกข้าวโพด ประกอบด้วย จังหวัดเลยมีเกษตรกรสนใจ 5,057 ราย พื้นที่ 31,146.25 ไร่ อำนาจเจริญสนใจ  976 ราย พื้นที่ 5,941.25  ไร่มุกดาหารสนใจ 736 ราย พื้นที่ 3,500 ไร่ และยโสธร 1,445 ราย พื้นที่ 8,559.50 ไร่ รวมเกษตรกรที่สนใจทั้งสิ้น 8,214 ราย พื้นที่ 49,147 ไร่ 

นายสำราญ กล่าวว่า การขยายพื้นที่ดำเนินงานโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดดังกล่าวนั้น ส่งผลให้ลดพื้นที่การปลูกข้าวและเพิ่มผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาด สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรจากการปลูกพืชอื่นทดแทนการปลูกข้าว อีกทั้งสร้างโอกาสให้เกษตรกรได้เรียนรู้การปลูกพืชอื่นในนาเป็นเกษตรกรรมทางเลือกอื่นระยะยาว โดยค่าใช้จ่ายจะดำเนินการภายใต้วงเงินของโครงการฯ ที่ได้รับการอนุมัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2561 และ 24 ตุลาคม 2561


ทั้งนี้ สมาคมประกันวินาศภัยไทยและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ยินดีที่จะขยายพื้นที่รับประกันภัยเพิ่มเติมอีก 4 จังหวัด โดยสมาคมประกันวินาศภัยไทยจะยื่นแก้ไขแบบและข้อความของกรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อขยายพื้นที่การรับประกันภัยให้ครอบคลุม 4 จังหวัด เพิ่มเติมกับนายทะเบียนสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ครอบคลุมเกษตรกรผู้เอาประกันภัยประมาณ 150,000 ราย ขณะนี้มีเกษตรกรผู้สนใจเข้าร่วมโครงการฯ ทั้ง 37 จังหวัด จำนวน 125,714 ราย รวมเป็นพื้นที่ 1,072,423 ไร่ (ข้อมูลวันที่ 14 ธันวาคม 2561)

นายสำราญ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในพื้นที่ 33 จังหวัด เดิมมีเกษตรกรสมัครร่วมโครงการแล้ว 89,259  ราย พื้นที่  768,120.75 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 75.06 ของพื้นที่สำรวจ ล่าสุดนายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์สั่งการให้เร่งรัดให้มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการฯ ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2561 นอกจากนี้ แต่ละกรมที่มอบหมายแบ่งรับผิดชอบรายจังหวัดตรวจสอบว่า เกษตรกรที่ปลูกแล้วอัตราการงอก และการเจริญเติบโตของข้าวโพดดีในระดับน่าพึงพอใจหรือไม่ ส่วนเกษตรกรที่สนใจร่วมโครงการ แต่ยังไม่ได้สมัครมีปัญหาใด โดยให้เร่งแก้ไข รวมทั้งดูแลให้มีจุดรับซื้อข้าวโพดครอบคลุมทุกอำเภอ รายงานมายังศูนย์ปฏิบัติการว่า บริษัทผู้ผลิตอาหารสัตว์แห่งใดรับซื้อข้าวโพดที่จุดไหน เพื่อให้การดำเนินงานสัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมาย.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง