เกาหลีใต้ 27 เม.ย.-นับตั้งแต่ชาวโลกได้เห็นภาพ 2 ผู้นำเกาหลีจับมือกันเป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี ทุกคนต่างมุ่งหวังว่าสันติภาพอย่างถาวรจะบังเกิดขึ้นบนคาบสมุทรเกาหลี แต่จะเกิดได้จริงหรือไม่ มีอะไรบ้างที่จะต้องติดตามกันต่อ และทำไมจู่ๆ “คิม จองอึน” จึงมีท่าทีอ่อนลง จากที่แข็งกร้าว ไม่กลัวใคร
สิ่งที่ยังต้องลุ้นกันตัวโก่งก็คือ ทั้งสองเกาหลีจะทำข้อตกลงสันติภาพถาวรร่วมกันได้จริงหรือไม่ หลังเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ต่างแสดงความปรารถนาจะให้มันเกิดขึ้นเสียที เพราะสงครามเกาหลียุติลงด้วยข้อตกลงสงบศึกชั่วคราวเท่านั้น นอกจากนี้ ยังต้องรอดูท่าทีของสหรัฐ ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ กำลังจะเจอกับ คิม จองอึน แบบตัวต่อตัว ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นอีก 1 วันประวัติศาสตร์บนคาบสมุทรเกาหลี
ผลที่ได้จากการประชุมในวันนี้ สหรัฐจะปรับยุทธศาสตร์การเจรจากับ คิม จองอึน อย่างไร ซึ่งทรัมป์ เองก็มีท่าทีไม่แน่นอน โดยก่อนหน้านั้น เคยประกาศว่า ถ้าเขาไม่พอใจการพูดคุยกับคิม จองอึน หรือเห็นว่าผู้นำเกาหลีเหนือไม่มีความจริงใจในการพูดคุย เขาก็จะวอล์กเอาท์จากห้องประชุม และล้มโต๊ะเจรจาทันที แต่นักวิเคราะห์เกาหลีใต้ระบุว่า รัฐบาลเกาหลีใต้มีกลยุทธ์ในการชักจูงผู้นำสหรัฐอยู่แล้ว
ทั้งนี้ ผู้นำเกาหลีใต้จะบรรยายสรุปผลการเจรจาให้ประธานาธิบดีทรัมป์ รับทราบโดยเร็วที่สุด มีความกังวลจากฝ่ายสหรัฐว่า หากเกิดการลงนามสันติภาพดังกล่าวจริง ผลที่ตามมาก็คือ สหรัฐต้องถอนทหารเกือบ 30,000 คน ออกจากเกาหลีใต้ และจากนี้ไปคงต้องจับตาความร่วมมือระหว่าง 2 เกาหลีในด้านต่างๆ เช่น ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และการจัดงานวันรวมญาติ 2 เกาหลีจะมีขึ้นบ่อยครั้งหรือไม่ และที่สำคัญที่สุด เกาหลีเหนือจะยกเลิกโครงการนิวเคลียร์อย่างที่ให้สัญญาไว้ได้จริงหรือไม่ เพราะในอดีตเกาหลีเหนือเคยลงนามในข้อตกลงมาแล้วหลายฉบับ แต่ก็ฉีกทิ้งทุกครั้งที่ไม่พอใจชาติตะวันตก
นักวิเคราะห์มองว่า ท่าทีและภาษากายของคิม จองอึน ในวันนี้ เตรียมการมาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการจูงมือผู้นำเกาหลีใต้เข้าไปยังฝั่งเกาหลีเหนือ พร้อมถ่ายภาพร่วมกันอย่างอบอุ่น โดยนายคิม ต้องการสร้างเซอร์ไพรส์ให้โลกได้เห็น แต่หัวข้อที่คุยกันในห้องประชุมนายคิม ได้ลงไปแตะในเรื่องละเอียดอ่อนหลายเรื่อง ขณะที่ผู้นำเกาหลีใต้พยายามหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงเรื่องเหล่านี้ อย่างเช่น นายคิม พูดถึงชาวเกาหลีเหนือมากมายที่แปรพักตร์ไปยังเกาหลีใต้ และกล่าวหาเกาหลีใต้ว่า จงใจลักพาตัวชาวเกาหลีเหนือเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม นายคิม ตบท้ายว่า ความบาดหมางในอดีตจะไม่เป็นอุปสรรคในการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ
การประชุมสุดยอดครั้งนี้ ถือว่ามีความหวังมากที่สุด ว่า 2 เกาหลีจะปรองดองกันได้ เหตุผลหนึ่งก็คือ ประธานาธิบดีมุน แจอิน แห่งเกาหลีใต้ มีรกรากมาจากเกาหลีเหนือ โดยพ่อแม่ของเขาอพยพจากเกาหลีเหนือมาพำนักในเกาหลีใต้ในช่วงสงครามเกาหลี และทุกวันนี้ยังคงมีญาติอยู่ในเกาหลีเหนือ มุนเคยกล่าวว่า เขายังฝันจะกลับไปเยือนเมืองฮังนัมในเกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของพ่อแม่ของเขา และระหว่างการประชุมสุดยอดวันนี้ นายคิม ก็เอ่ยปากเชิญ ให้นายมุน เดินทางเยือนเกาหลีเหนือด้วย
นายมุน เคยเขียนในหนังสือว่า เขาต้องการใช้ช่วงชีวิตที่เหลือในเมืองฮังนัม เพื่อทำงานบริการสังคมและหากเกิดการรวมชาติโดยสันติ สิ่งแรกที่เขาจะทำ คือ พาแม่ในวัย 90 ปี กลับไปเยือนบ้านเกิดในเกาหลีเหนือ ขณะที่นายคิม ก็พร้อมเยือนทำเนียบประธานาธิบดีบูลเฮาส์ของเกาหลีใต้ทุกเมื่อ หากได้รับคำเชิญ
หลายคนสงสัยว่า ทำไมจู่ ๆ คิม จองอึน จึงมีท่าทีอ่อนลง จากที่แข็งกร้าว ไม่กลัวใคร มีรายงานว่า เศรษฐกิจเกาหลีเหนือขณะนี้ย่อยยับจากมาตรการคว่ำบาตรของนานาชาติ โดยคาดว่าภายในปีนี้เศรษฐกิจจะถดถอยอย่างมาก หลังจีนร่วมมือกับนานาชาติไม่ขายน้ำมันและเชื้อเพลิงให้เกาหลีเหนือ เกาหลีเหนือวันนี้จึงไม่มีเพื่อนหลงเหลืออีกแล้ว และยังมีรายงานว่า ฐานทดลองขีปนาวุธของเกาหลีเหนือก็ถูกหินถล่ม ไม่สามารถใช้การได้อีก เรียกได้ว่า คิม จองอึน กำลังเชิญภาวะหลังพิงฝา ไม่มีทางเลือก
แต่นักวิเคราะห์บางส่วนก็เตือนว่า คลังขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์ที่เกาหลีเหนือยังมีอยู่ในมือ และคุยว่าโจมตีได้ไกลถึงสหรัฐ แม้จะยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่ก็ยังถือเป็นเรื่องที่น่าวิตก และนาทีนี้ยังต้องจับตามองต่อไปว่า เกาหลีเหนือจะต่อรองอะไรกับสหรัฐ ระหว่างที่ คิม จองอึน ได้พบกับทรัมป์แบบตัวต่อตัว และการต่อรองนี้จะได้รับการสนองตอบหรือไม่ ภาพสวยงามที่ออกมาในวันนี้ จึงยังไม่ได้หมายความว่า สันติภาพอย่างถาวรจะบังเกิดขึ้นบนคาบสมุทรเกาหลี โดยยังจำเป็นต้องรอพิสูจน์ความจริงใจของผู้นำเกาหลีเหนือจากการกระทำ.-สำนักข่าวไทย