กรุงเทพฯ 4 ต.ค. – กกร.ประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวดีขึ้นจากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ คาดเศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 3.3-3.5 ส่วนปีหน้าคาดจะขยายตัวร้อยละ 3.5-4 พร้อมขอดูรายละเอียดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพช่วยลูกจ้าง
นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานหอการค้าไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถานบัน (กกร.) กล่าวภายหลังการประชุม ว่า ที่ประชุมมีการประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยขณะนี้ว่ามีแนวโน้มฟื้นตัว โดยการส่งออกกลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน เดือนสิงหาคมขยายตัวมากกว่าร้อยละ 6 แต่ยังมีจุดเสี่ยงจากเศรษฐกิจจีนและสหภาพยุโรป (อียู) ทำให้ยังมีผลกระทบต่อการส่งออก ซึ่งตลาดอียูและจีนเป็นตลาดหลักของไทย
ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 3.3-3.5 ส่งออกขยายตัวติดลบร้อยละ 0-2 ส่วนปีหน้าคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นขยายตัวได้ร้อยละ 3.5-4 และส่งออกกลับมาเป็นบวกขยายตัวร้อยละ 0-2 เนื่องจากหลายปัจจัยมีการปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะตลาดหลัก ได้แก่ สหรัฐ อียู ญี่ปุ่น จีน และการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐปี 2560 ดีขึ้น ขณะที่การค้าชายแดนขยายตัวมาก ประกอบกับขณะนี้ผู้ประกอบการมีการไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น โดยปีที่ผ่านมามีการลงทุน 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะเป็นการขยายการค้าและการลงทุนด้านต่าง ๆ จึงเป็นปัจจัยบวกที่จะส่งผลดีให้เศรษฐกิจของประเทศปรับตัวดีขึ้น
สำหรับกรณีที่เวิล์ดอีโคโนมิคฟอรั่มลดอันดับความสามารถการแข่งขันไทย จากอันดับ 32 มาอยูที่ 34 นั้น ไม่น่ากังวล เพราะในอาเซียนไทยดีกว่าหลายประเทศและเป็นช่วงที่ประเทศกำลังปรับตัว ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาประเทศและเอกชนไทยก็พร้อมที่จะปรับตัวพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้นอีกด้วย
ส่วนกระแสข่าวที่ทางรัฐบาลจะให้ภาคเอกชนไปดำเนินการช่วยเหลือลูกจ้างของตนเองด้วยการให้มีการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้น วันนี้ที่ประชุมยังไม่ได้มีการหารือและยังไม่เห็นรายละเอียดที่ทางรัฐบาลจะขอความร่วมมือจากภาคเอกชน และหากมีมาตรการดังกล่าวจริงจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับภาคเอกชนทั้งระบบหรือไม่ โดยคิดว่านายกรัฐมนตรีต้องการที่จะลดปัญหาด้านความเหลื่อมล้ำในสังคมและเตรียมแผนรองรับจำนวนผู้สูงอายุในอนาคตข้างหน้า ดังนั้น ในหลักการยังแสดงความคิดเห็นไม่ได้ทั้งหมดขอดูรายละเอียดต่าง ๆ ก่อน โดยปกติภาคเอกชนรายใหญ่จำนวนมากมีการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้กับพนักงานอยู่แล้ว อาจจะมีเอกชนบางรายที่ไม่มีตรงนี้ แต่ก็มีสวัสดิการด้านอื่น ๆ ทดแทน จึงต้องขอดูรายละเอียดจากทางภาครัฐก่อนว่าการให้จัดตั้งกองทุนดังกล่าวจะกำหนดมาตรการและเวลาหรือจะมีมาตรการผ่อนปรนหรือส่งเสริมกันอย่างไร เพื่อนำมาประกอบการพิจารณากันต่อไป
ด้านนายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย ระบุถึงกรณีดอยซ์แบงก์อาจถูกปรับเงินจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐมูลค่ามากกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น จะไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อธนาคารพาณิชย์ของไทย เนื่องจากมีการรับรู้สถานการณ์ล่วงหน้าแล้ว มองสาเหตุที่ทำให้เกิดความกังวล เนื่องจากเป็นธนาคารขนาดใหญ่ แต่เชื่อว่าจะแก้ปัญหาได้และไม่ล้มอย่างแน่นอน ทั้งนี้ ในส่วนของธนาคารกสิกรไทยยังคงมีการทำธุรกรรมกับดอยซ์แบงก์ปกติและมีแผนรับมือล่วงหน้าแล้วเช่นกัน.-สำนักข่าวไทย