กรุงเทพ ฯ 8 ม.ค. – ธนาคารไทยพาณิชย์ ยืนยันเจ้าหน้าที่แบงก์ ตรวจพิสูจน์ตามระเบียบ หลังคนร้ายสวมบัตรประชาชนเปิดบัญชี ขอรัฐเชื่อมข้อมูลทะเบียนราษฎร์ มา 3-5 ปี แต่ไร้ผล
จากกรณีที่มีหญิงสาวรายหนึ่งโดนมิจฉาชีพนำบัตรประจำตัวประชาชนที่โดนขโมยไปเปิดบัญชีธนาคาร และมีการหลอกขายสินค้าให้ผู้บริโภคหรือชักชวนให้ร่วมลงทุน จนหลายคนหลงเชื่อและโอนเข้าบัญชีเงินฝาก มีมูลค่าความเสียหายเกิดขึ้น
นายพงษ์สิทธิ์ ชัยฉัตรพรสุข รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดการป้องกันอาชญากรรมทางการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นกรณีนี้ พบว่ามิจฉาชีพรายดังกล่าวมีการเตรียมตัวเพื่ออำพรางตัวเองให้เหมือนกับเจ้าของบัตรประชาชน ทำให้เจ้าหน้าที่สาขาธนาคารทั้ง 7 แห่งหลงเชื่อ โดยยืนยันว่าการตรวจสอบพิสูจน์หลักฐานของเจ้าหน้าที่ธนาคาร ทำตามระเบียบข้อบังคับที่ได้อบรมมาอย่างเคร่งครัด
อย่างไรก็ตามระบบธนาคารสามารถตรวจสอบข้อมูลลูกค้าที่ขอเปิดบัญชีได้ในระดับหนึ่ง เช่นข้อมูลย้อนหลัง การเปรียบเทียบลักษณะกับบัตรประชาชน รวมถึงการตรวจสอบว่าเป็นบัตรประชาชน ปลอมหรือไม่ ผ่านชิปการ์ดบนบัตรประชาชน แต่ไม่สามารถรู้ถึงประวัติอาชญากรรมหรือรับทราบว่าบัตรประชาชนนั้นถูกอายัดหรือไม่ เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถเชื่อมข้อมูลกับสำนักทะเบียนราษฎร์ กระทรวงมหาดไทยได้ มีเพียงธนาคารรัฐเท่านั้นที่ทราบข้อมูลการถูกอายัดบัตรประชาชน
ซึ่งที่ผ่านสมาคมธนาคารไทยได้หารือกับกระทรวงมหาดไทยมานาน 3-5 ปีแล้ว เพื่อขอเชื่อมข้อมูลระบบ แต่ไม่ได้รับการอนุมัติ ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ เพราะแม้ว่าเจ้าของบัตรจะแจ้งบัตรหาย แต่ข้อมูลไม่แสดงที่ธนาคารว่าบัตรประชาชนใบนี้ถูกอายัดไปแล้ว เจ้าหน้าที่ธนาคารก็จะเปิดบัญชีให้ตามปกติ
“ถ้าหากเป็นลูกค้าเดิมธนาคารจะมีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ทำให้สามารถตรวจสอบได้ง่าย แต่หากเป็นลูกค้าใหม่ การพิสูจน์ตัวตนของลูกค้าจะใช้การตรวจสอบจากบัตรประชาชน หากไม่นำบัตรประชาชนตัวจริงมา ก็ไม่สามารถเปิดบัญชีกับธนาคารได้ ดังนั้นจะใช้วิธีการตรวจสอบจากหน้าบัตรประชาชนกับผู้ที่ถือบัตรว่าต้องตรงกัน”นายพงษ์สิทธิ์ กล่าว
นายพงษ์สิทธิ์ กล่าวว่า กรณีขโมยบัตรประชาชนแล้วมาเปิดบัญชีมีโทษหนักในคดีฉ้อโกง ซึ่งมีโทษหนักกว่าการรับจ้างเปิดบัญชี โดยปัจจุบันคดีขโมยบัตรประชาชนแล้วมาเปิดบัญชีมีสัดส่วนไม่ถึงร้อยละ 1 จากคดีทั้งหมด .-สำนักข่าวไทย