ตร.เร่งคลายปมพบ 6 ศพ ในห้องพักโรงแรมดังกลางกรุง

กรุงเทพฯ 17 ก.ค. – ตำรวจเร่งตรวจสอบกล้องวงจรปิดภายในโรงแรมดังย่านราชประสงค์ คลายปมพบ 6 ศพ ภายในห้องพัก พร้อมเชิญญาติและผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้เสียชีวิตมาสอบปากคำเพิ่มเติม


วานนี้ (16 ก.ค.) ช่วงหัวค่ำ มีรายงานว่าพบผู้เสียชีวิตจำนวน 6 ราย ภายในห้องพักชั้น 6 โรงแรมย่านราชประสงค์ ภายในห้องพบว่ากระเป๋าเดินทางถูกเก็บแล้ว และทั้งหมดเป็นชาวต่างชาติ

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า ผู้เสียชีวิตเป็นชาย 3 คน หญิง 3 คน ตรวจสอบสัญชาติพบทั้งหมดเป็นชาวเวียดนาม ในจำนวนนี้ 2 คน ถือสัญชาติอเมริกันด้วย


จากการตรวจที่เกิดเหตุเบื้องต้นมีร่องรอยการดื่มชา กาแฟ ตำรวจจึงคาดว่าน่าจะเป็นการวางยา หรือเสียชีวิตจากยาพิษ แต่ยังไม่ชัดเจน ส่วนจะเป็นการสังหารจากเหตุผลหักหลังทางธุรกิจ ล้างแค้น หรืออาจเป็นลัทธิประหลาด ตำรวจยังไม่สรุป แต่ตั้งประเด็นสืบสวนสอบสวนเอาไว้หลายประเด็น

ด้าน พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า จากการตรวจที่เกิดเหตุไม่มีร่องรอยการต่อสู้ พบศพรวมตัวเสียชีวิตในห้องเดียวกัน โดยห้องพักห้องนี้ต้องเช็กเอาต์ออกวันที่ 16 ก.ค. 67 มีการแพ็กกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานกำลังชันสูตรพลิกศพอย่างละเอียด และตรวจหลักฐานทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลของผู้เสียชีวิตทั้ง 6 คน 1.Ms.SHERINE CHONG หญิง อายุ 56 ปี สัญชาติอเมริกัน เดินทางเข้าไทยล่าสุด 5 ก.ค. เคยเดินทางเข้า-ออกไทยแล้ว 5 ครั้ง
2.Mr.HUNG DANG VAN ชาย อายุ 55 ปี สัญชาติอเมริกัน เข้าไทยล่าสุด 7 ก.ค. เดินทางเข้า-ออกไทย 1 ครั้ง
3.Ms.THI NGUYEN PHUONG LAN หญิง อายุ 47 ปี สัญชาติเวียดนาม เข้าไทยล่าสุด 4 ก.ค. เดินทางเข้า-ออกไทย 17 ครั้ง
4.Mr.HONG PHAM THANH ชาย อายุ 49 ปี สัญชาติเวียดนาม เข้าไทยล่าสุด 12 ก.ค. เดินทางเข้า-ออกไทย 1 ครั้ง
5.Mr.DINH TRAN PHU ชาย อายุ 37 ปี สัญชาติเวียดนาม เข้าไทยล่าสุด 12 ก.ค. เดินทางเข้า-ออกไทย 11 ครั้ง
6.Ms.THI NGUYEN PHUONG หญิง อายุ 46 ปี สัญชาติเวียดนาม เข้าไทยล่าสุด 12 ก.ค. เคยเดินทางเข้า-ออกไทย 3 ครั้ง

ปม 6 ศพเวียดนาม พบแก้วชาถูกดื่มก่อนตาย
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อม พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. และผู้เกี่ยวข้อง เดินทางมาที่โรงแรมดังกล่าว เพื่อแถลงข่าวรายละเอียดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อเวลาประมาณ 16.00 น. เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งพบผู้เสียชีวิตชาวเวียดนาม โดยในที่เกิดเหตุไม่พบร่องรอยการต่อสู้หรือการประทุษร้าย จึงคาดการณ์ว่าสาเหตุการเสียชีวิตอาจมาจากการดื่มเครื่องดื่มบางอย่าง ทั้งนี้ ไม่กระทบการท่องเที่ยว ได้มีการพูดกับทางสถานทูตเวียดนามแล้ว


พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. แถลงรายละเอียดคดีนี้ว่า ผู้เสียชีวิตทั้งหมด 6 คน เป็นคนเชื้อชาติเวียดนาม ถือสัญชาติอเมริกัน 2 คน สัญชาติเวียดนาม 4 คน เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ชั้น 5 ของโรงเเรม

ประวัติการเดินทางเข้าพักที่โรงเเรม พบว่ามีการเเจ้งบุ๊กกิ้งไว้ 7 คน 7 ห้อง, เช็กอิน 5 คน 5 ห้อง เเต่เสียชีวิต 6 คน 5 คนที่ตรวจสอบตรงกับบุคคลที่เช็กอินกับโรงเเรม แต่อีก1 คน มาได้ยังไงไม่รู้ แเละคนที่ 7 ต้องไปพิสูจน์ว่ามีตัวตนหรือไม่อย่างไร ถ้ามีจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้อย่างไร

กลุ่มผู้เสียชีวิตเช็กอินเข้าโรงแรมไม่พร้อมกัน 4 คนแรกเช็กอินก่อนที่ชั้น 7 จำนวน 4 ห้อง เเละวันถัดมาเช็กอินเพิ่มที่ชั้น 5 เเละเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ชั้น 5

วันที่พบศพคือ 16 ก.ค. 67 เป็นวันที่ห้องชั้น 5 จะต้องเช็กเอาท์ออกจากโรงเเรมช่วงบ่าย แต่ไม่มีการเช็กเอาท์ โดยห้องชั้น 7 ทั้ง 4 ห้องเช็กเอาท์ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค.

ส่วนชั้น 5 เช็กเอาท์บ่ายวันที่ 16 กค. ซึ่งเป็นวันที่พบศพและไม่มีการเช็กเอาท์ออกจากโรงแรม เป็นไปได้ว่าทั้งหมดมีการเก็บกระเป๋าจากห้องชั้น 7 ลงมารวมตัวกันอยู่ที่ห้องชั้น 5

เวลาประมาณ 16.00 น. เเม่บ้านจะเข้าไปในห้องเพื่อทำความสะอาด แต่ประตูด้านหน้าล็อกจากข้างใน แม่บ้านจึงต้องเดินไปเปิดประตูด้านหลัง เนื่องจากห้องพักเป็นลักษณะเป็นไพรเวทโซนคล้ายวิลล่า จึงมีประตูด้านหลังด้วย เมื่อเข้าไปพบผู้เสียชีวิต จึงแจ้งทางผู้บริหาร และทางผู้บริหารติดต่อแจ้งไปทาง สน.ในพื้นที่

ตำรวจเเละพิสูจน์หลักฐานลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุประมาณ 17.00 น. พบผู้เสียชีวิตอยู่ในห้องทั้งหมด 6 คน เสียชีวิตที่พื้นบริเวณโซนรับแขกด้านหน้า 4 คน อีก 1 คน เสียชีวิตบริเวณหน้าประตู เสียชีวิตในห้องนอน 2 คน เบื้องต้นไม่พบร่องรอยบาดแผล ไม่พบการต่อสู้ ข้าวของเครื่องใช้อยู่ตามปกติ เเต่มีผู้เสียชีวิตหนึ่งคนมีบาดแผลบริเวณใบหน้า ตำรวจและแพทย์สันนิษฐานว่าเกิดจากการกระแทกขณะล้มแล้วถูกของแข็ง

ตำรวจเชื่อว่าเสียชีวิตเวลา 13.53 น. ของวันที่ 15 ก.ค. เสียชีวิตเกินกว่า 20 ชั่วโมง เพราะอาหารไทยที่สั่งไว้เป็นอาหารจานเดียว วางอยู่ในห้องรับแขก ยังไม่ได้รับประทานอาหารเลย และมีถ้วยชาสีขาว 6 ใบ ถูกดื่มแล้ว วางอยู่ที่เคาน์เตอร์ 5 ใบ เเละ 1 ใบ วางที่โต๊ะอาหาร มีเศษตะกอนตกค้างอยู่ที่ก้นถ้วย ขณะนี้ให้เจ้าหน้าที่เก็บหลักฐานไปทั้งหมดแล้ว นอกจากนี้พบกระปุกชาสีเขียว พร้อมน้ำเกลือแร่และน้ำผึ้ง ที่ถูกเปิดใช้แล้ว วางอยู่ในห้องน้ำ

ทั้งนี้ จะนำกระเป๋าของผู้เสียชีวิตทั้งหมดมาตรวจหาวัตถุพยานหรือพยานหลักฐานที่จะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลใดมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ข้อสรุปณตอนนี้คือทั้งหมดไม่ได้ทำร้ายตัวเอง แต่ถูกคนอื่นทำให้เสียชีวิต เเละประสงค์ต่อชีวิตและร่างกาย แต่โดยวิธีการใดนั้นต้องรอผลจากนิติวิทยาศาสตร์

ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังดำเนินการตรวจสอบกล้องวงจรปิดภายในโรงแรมทั้งหมด ตั้งแต่เดินทางเข้ามาพักในโรงแรม มาชุดแรกวันที่ 13 ก.ค. และชุดที่สองวันที่ 14 ก.ค. พร้อมไล่ไทม์ไลน์ตั้งแต่การเดินทางเข้ามาในประเทศไทย และเดินทางไปที่ไหนบ้าง เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิต ตรวจสอบจากพาสปอร์ตว่าเดินทางเข้ามาจริงไหม เมื่อไร เที่ยวบินอะไร ใครนั่งข้างข้าง ใครเป็นผู้จองตั๋ว ใครเป็นผู้ชำระเงินให้ และขณะนี้กำลังรอข้อมูลทางโรงแรมส่งให้ตำรวจทั้งหมด พร้อมประสาน ตม. ตรวจสอบ ช่วงตรวจหนังสือเดินทางเข้ามาในประเทศมีการเดินทางมากับใครบ้าง สิ่งสำคัญคือต้องหาคำตอบให้ได้ก่อนว่ารายที่ 7 ที่แจ้งบุ๊กกิ้งไว้นั้นมีตัวตนจริงหรือไม่ 

นอกจากนี้ยังมีพยานอีก 5 คน ที่ตำรวจเชิญตัวให้มาสอบปากคำเพิ่มเติม ซึ่งในจำนวนนี้พบว่ามีญาติของผู้เสียชีวิตรวมอยู่ด้วย โดยผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 และผู้กำกับการ สน.ลุมพินี เป็นผู้สอบปากคำด้วยตัวเอง

พล.ต.ต.วิทวัฒน์ ชินคำ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 เปิดเผยว่า พยานทั้ง 5 ปากที่เชิญตัวมาสอบปากคำมีทั้งเลขานุการเอกอัครราชทูตเวียดนามประจำประเทศไทย และเพื่อนของน้องสาวผู้เสียชีวิตที่พักอาศัยอยู่ในประเทศไทย พอทราบข่าวตำรวจจึงเชิญตัวมาให้ข้อมูลและช่วยแปลภาษาจากเอกสารต่างๆ ที่อยู่ในกระเป๋าเดินทางของผู้เสียชีวิต

นอกจากนี้จากการตรวจค้นกระเป๋าของผู้เสียชีวิตมีลักษณะเตรียมพร้อมจะเช็กเอาท์ออกจากโรงแรม และยังพบยาชนิดเม็ดรักษาโรคทั่วไป แต่ต้องส่งไปให้กองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบเพื่อเทียบเคียงลักษณะยาที่พบในจุดเกิดเหตุว่าเป็นชนิดเดียวกันหรือไม่

ส่วนศพของผู้เสียชีวิตทั้ง 6 ราย เจ้าหน้าที่ส่งพิสูจน์ทราบที่ภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง

มีรายงานว่าในช่วงบ่ายวันนี้ (17 ก.ค.) พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จะแถลงความคืบหน้าคดีดังกล่าว.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ประหารชีวิตแอมไซยาไนด์

ศาลอาญาพิพากษาประหารชีวิต “แอม ไซยาไนด์”

ศาลอาญาพิพากษาประหารชีวิต “แอม ไซยาไนด์” ส่วนอดีตสามี คุก 1 ปี 4 เดือน “ทนายพัช” คุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ชดใช้ ให้ผู้เสียหายกว่า 2 ล้านบาท

นายกฯ ถกตั้งนายพลตำรวจ 41 ตำแหน่ง ยันไม่มีการเมืองแทรก

นายกฯ ถกแต่งตั้งนายพลตำรวจ 41 ตำแหน่ง ยันไม่มีการเมืองแทรก ยึดตาม พ.ร.บ.ตำรวจ ฉบับใหม่ พลิกโผ ‘สยาม บุญสม’ ผงาดคุมนครบาล ‘สันติ ชัยนิรามัย’ นั่ง ผบช.ปส. ‘ไตรรงค์ ผิวพรรณ’ โยกคุมไซเบอร์ ‘ภาณุมาศ บุญญลักษม์’ ขึ้นเป็น ผบช.สตม.

ดีเอสไอพบเส้นเงินโอนจากแม่ถึงนักการเมือง ส. เกือบ 100 ล้าน

ดีเอสไอพบเส้นเงินโอนจากแม่ถึงนักการเมือง ส. เกือบ 100 ล้านบาท จำนวนนี้พบโอนจาก “บอสพอล-บอสปีเตอร์” ด้วย เร่งขยายผลมีบอสรายอื่นโอนเข้าบัญชีดังกล่าวอีกหรือไม่

ข่าวแนะนำ

“เอวา” เสือโคร่งสายแบ๊ว ดาวรุ่งดวงใหม่

หน้าตาที่น่ารักบ้องแบ๊วเหมือนแมวตัวโต ตกหัวใจคนรักสัตว์กันไปเต็มๆ สำหรับน้องเอวา เสือโคร่งสายแบ๊วของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี นอกจากหน้าตาน่ารักแล้วยังมีความสามารถหลายอย่าง จนกลายเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ ที่ผู้คนแห่ไปชมความน่ารักกันอย่างคึกคัก คาดจะช่วยดึงนักท่องเที่ยวไปที่เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ต้อนรับอบอุ่น “โอปอล” รองอันดับ 3 มิสยูนิเวิร์ส 2024 ถึงไทย

กลับถึงไทยแล้ว “โอปอล สุชาตา” รองอันดับ 3 มิสยูนิเวิร์ส 2024 ปรากฏตัวในชุดไทย สวยสง่า แฟนนางงามต้อนรับอย่างอบอุ่น

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

นายกฯ โชว์วิสัยทัศน์บนเวที Forbes ดันเศรษฐกิจไทย ส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์

“นายกฯ แพทองธาร” โชว์วิสัยทัศน์บนเวที Forbes Global CEO Conference ครั้งที่ 22 ดันเศรษฐกิจไทย ส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ รับมือความท้าทาย ชูจุดเด่นไทยอยู่ตรงกลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีภาคการเกษตรที่เข้มแข็งดึงดูดนักลงทุน บอกกระตุ​้นเศรษฐกิจ​แจกเงินหมื่นเฟส​ 2 พุ่งเป้าเงินสะพัด ลั่น​จุดยืนไทยวางตัวเป็นทูตสันติภาพ พร้อมปรับตัวตามนโยบาย “ทรัมป์”