กรุงเทพฯ 15 ก.ค.-ตลาดหุ้นไทยไตรมาส 3 “NEXT LEVEL” กลับมายืนเหนือ 1350 จุด ปัจจัยหนุนจาก กำไร บจ.-มาตรการ Uptick -ThaiESG เงื่อนไขใหม่ แนะนำหุ้นได้ประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และหุ้นปันผลระหว่างกาลสูง
สายงานวิจัยฯ บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด(ASPS) ในกลุ่มบริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด(มหาชน) หรือ ASPS ประเมินภาพรวมการลงทุนของตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาสที่ 3 มีโอกาสผ่านพ้นจุดต่ำสุด หลังเริ่มเห็นหลายปัจจัยช่วยพยุงตลาดหุ้นไทยทั้งปัจจัยภายนอกประเทศที่ภาพเศรษฐกิจโลกที่ดูผ่อนคลายลงจากความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย ท่ามกลางวัฏจักรดอกเบี้ยโลกขาลงเริ่มชัดเจน โดยเฉพาะช่วง3Q67 เชื่อว่าจะช่วยลดแรงกดดันต่ออัตราแลกเปลี่ยนหนุนให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพทยอยแข็งค่ามากขึ้นและปัจจัยภายในประเทศเริ่มจากความกังวลสถานการณ์การเมือง อาจมีแรงกดดันลดลง หลังคดีความต่างๆ เริ่มเห็นถึงกระบวนการที่ชัดเจนขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจไทย BOTTOM OUT จากหลายภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายภาครัฐ (G) ภาคการการลงทุน (I) รวมถึงภาคการบริโภค (C) คาดเป็นตัวช่วยให้ GDP GROWTH ไทยทยอยเติบโตเป็นขั้นบันได โดยทั้งปี2567 ธปท.คาด GDP GROWTH อยู่ที่ระดับ +2.6%YoY
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวเพิ่มว่า แม้การลดดอกเบี้ยในไทยอาจไม่เกิดขึ้นในปีนี้ดังประเทศอื่นๆ แต่ในช่วงไตรมาส 3 ตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าลงทุนมากขึ้นจากหลายปัจจัย ดังนี้ 1.มุมกำไรบริษัทจดทะเบียนงวด 2Q67 ที่มีโอกาสเติบโตทั้ง YoY เด่น จากฐานกำไรงวด 2Q66 ที่ต่ำกว่าปกติ และทรงๆตัว QoQพร้อมกับมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และราคาน้ำมันยืนระดับสูงหนุนให้กำไรงวด 2Q67 มีโอกาสอยู่ในกรอบ 2.3 – 2.7 แสนล้านบาท 2.มุม Valuation SET จะเห็นแนวรับสำคัญทางพื้นฐานที่บริเวณ 1,300 จุด มีPER67F ที่ 14.2 เท่า (-1SD ในรอบ 10 ปี) และเป็นระดับต่ำสุดรองจากช่วงวิกฤตโควิดปี 2563 ขณะที่ในเชิง PBV มีค่าที่ 1.2 เท่า (-2SD ในรอบ 10 ปี), Dividend Yield 3.5% (+1SD ในรอบ 10 ปี) 3.มาตรการสร้างความเชื่อมั่นของ ตลท. เริ่มจาก 1 ก.ค.67 ประกาศการใช้กฎ UPTICK RULE ทุกบริษัท ซึ่งลดการทำธุรกรรม SHORT SELL ได้อย่างมีนัยฯ บวกกับคาดหวังเม็ดเงินจาก THAIESG เงื่อนไขใหม่ ที่อาจไหลกลับเข้ามาหนุนตลาดหุ้น 6 – 7 หมื่นล้านบาท และหนุนให้กองทุนลดสถานะเงินสดและซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นในพอร์ตช่วงเวลาที่เหลือของปี อีกทั้งมีกระแสการฟื้นกองทุนรวมวายุภักษ์แบบการันตีผลตอบแทนขั้นต่ำเพื่อพยุงตลาดหุ้นไทยเพิ่มเติม
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำหุ้นพื้นฐานดี ได้เม็ดเงินTHAIESG ใหม่เข้ามาหนุน กับ 2 ธีมหลัก คือ 1.หุ้นได้ประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐAOT, CK และ 2.หุ้นปันผลระหว่างกาลสูง SIRI, ADVANC, TTB, TU
ตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงไตรมาส 3 การคาดการณ์ Bond yield ไทยยังคง Sideway Down แนะนำทยอยซื้อหุ้นกู้กลุ่ม Investment Grade ทีมผลิตภัณฑ์ตลาดรอง บล.เอเซีย พลัส (ASPS) ประเมินภาพรวมการลงทุนของตลาดตราสารหนี้ไทยยังไปได้ดี และเป็นที่ต้องการของนักลงทุน โดยเฉพาะตราสารหนี้ไทยที่มีอายุไม่ยาวมากและมีอันดับเครดิตตั้งแต่ Invesetment grade ขึ้นไป ข้อมูลจากสมาคมตราสารหนี้ไทย หรือ ThaiBMA แสดงให้เห็นว่า สิ้นไตรมาส 2 ปี 2567 ตลาดตราสารหนี้ไทยมีมูลค่าคงค้างเท่ากับ 17 ล้านล้านบาท ขยายตัว 2.7% จากสิ้นปีที่แล้วจากการเพิ่มขึ้นของตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลเป็นหลัก ในส่วนของการออกตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาว (หุ้นกู้ระยะยาว) มีมูลค่า 494,371 ล้านบาท โดย95% เป็นการออกของหุ้นกู้ในกลุ่ม Investment grade ส่วนอีก 5% เป็นกลุ่ม High yield ซึ่งมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่าการออกของกลุ่มนี้มีลักษณะเป็นหุ้นกู้มีประกันในสัดส่วนที่สูงถึง 81% สาหรับในครึ่งแรกปี 2567 สูงขึ้นจาก 48% ในปี 2566 และมีอายุการออกเฉลี่ยที่ 2.2 ปีลดลงจาก 2.5 ปี ในปี 2566
กระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศ (Fund flow) ของนักลงทุนต่างชาติในครึ่งแรก ปี 2567 เป็นการขายสุทธิตราสารหนี้ไทยทั้งในไตรมาส 1 และ 2 รวมเป็นมูลค่าการขายสะสมสุทธิตราสารหนี้ไทยจำนวน 66,514 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่เฟดคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับสูงยาวนานกว่าที่คาด ผนวกกับการที่พันธบัตรรัฐบาลของอินเดียได้ถูกรวมในการคำนวณดัชนีตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ของ J.P. Morgan (GBI-EM) ที่จะส่งผลให้ตราสารหนี้ไทยมีสัดส่วนในดัชนีลดลง
ลัพธ์พร ปานะกุล ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ตลาดรอง คาดว่าตลาดตราสารหนี้ในช่วงไตรมาสที่เหลือของปีนี้ Yield curve ของไทยยังจะมีการเคลื่อนไหวแบบ Sideway Down จากการสำรวจของThaiBMA ผู้ร่วมตลาดส่วนใหญ่คาดว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ในปี 2567 โดยมี 43% ที่คาดว่ามีโอกาสที่ กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในรอบเดือนธันวาคมซึ่งเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของปี โดยช่วงต้นเดือน ก.ค.นี้เริ่มเห็น Flow การเข้าซื้อหุ้นกู้ระยะยาวมากขึ้น โดยเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลมีการปรับตัวลดลงสอดคล้องกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของตลาด US โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ยังถือว่าหุ้นกู้ในตลาดเป็นทางเลือกที่มั่นคงและปลอดภัย
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมในช่วงนี้ ภายใต้สภาวะตลาดดอกเบี้ยที่มียังคงอยู่ในระดับสูง แต่ก็มีแนวโน้มปรับตัวลงในอนาคต คือ ทยอยสะสมซื้อหุ้นกู้โดยไม่ว่าเป็นการลงทุนผ่านตลาดแรกหรือตลาดรอง หรือลงทุนผ่านกองทุนตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งมองว่าสามารถขยายอายุการลงทุนให้ยาวขึ้นได้ เช่น 5-7 ปี โดยหากปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าเริ่มมีการลดอัตราดอกเบี้ย นักลงทุนจะได้ประโยชน์จากราคาที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากผลตอบแทนในตลาดปรับตัวลดลง หรือกล่าวได้ว่ามีโอกาสขายทำกำไรได้ในอนาคตนั่นเอง
ในช่วงของครึ่งปีแรกที่ผ่านมานั้น พอร์ทคำแนะนำลงทุนของฝ่ายกลยุทธ์ต่างประเทศของ บล.เอเซีย พลัส ให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 15.47% ซึ่งผลตอบแทนส่วนมากมาจากหุ้นในสหรัฐอเมริกา เช่น 7Magnificent, Semiconductor, Ai Theme แต่ก็มีอีกหลายตลาดที่ให้ผลตอบแทนดี ได้แก่ ญี่ปุ่น, อินเดีย และเวียดนาม คำถามสำคัญคือ เวลาที่เหลือในปีนี้หุ้นกลุ่มเดิมแต่ยังคงเป็นผู้นำตลาดอีกหรือไม่
ส่วนทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐ ขึ้นกับปัจจัย การประกาศงบการเงิน ลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ปัจจุบันคาดว่าน่าจะลดดอกเบี้ยครั้งแรกอยู่ที่เดือนกันยายน และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน.-516.-สำนักข่าวไทย