กรุงเทพฯ 7 ก.ค. – “รัดเกล้า” เผยกระทรวงดีอี-อก. ผนึกกำลังเสริมแกร่งขีดความสามารถชุมชน-วิสาหกิจไทย ให้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมใช้เครือข่ายไปรษณีย์กว่า 50,000 แห่ง และแพลตฟอร์ม e-Marketplace เพิ่มช่องทางกระจายสินค้าสู่สายตาต่างประเทศ ช่วยสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
วันนี้ (7 กรกฎาคม 2567) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เร่งเครื่องยกระดับ เสริมสร้างศักยภาพภาคอุตสาหกรรม เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก และเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายรูปแบบใหม่ๆ ในอนาคต โดยการบูรณาการการทำงานของกระทรวงกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ภายใต้การนำของรัฐมนตรีว่าการ ประเสริฐ จันทรรวงทอง และกระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้การนำของรัฐมนตรีว่าการ พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย เพื่อเดินหน้าส่งเสริมการเติบโตของผู้ประกอบการ SMEs และวิสาหกิจชุมชนอย่างยั่งยืน ผ่านโครงการและความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างศักยภาพ SMEs ไทย คาดว่าจะสามารถสร้างโอกาสทางการตลาดผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ได้กว่า 200 ล้านบาท
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (DIPROM) กระทรวงอุตสาหกรรม ผ่านเครือข่ายความร่วมมือ DIPROM CONNECTION เพิ่มศักยภาพในด้านโลจิสติกส์ และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการในทุกระดับ โดยเฉพาะกลุ่มวิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ระบบต่างๆ ที่เป็นดิจิทัล ซึ่งจะนำไปสู่เป้าหมาย Digital Economy ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยการให้ความรู้ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต มาตรฐาน และออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัย การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในการจัดเก็บสินค้า และระบบคลังสินค้า การขยายช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางจำหน่ายสินค้าทั้งออฟไลน์และออนไลน์ การขยายโอกาสและรองรับความต้องการต่างๆ ให้กับผู้ประกอบการ เพื่อเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ และเสริมความเป็น Digital SMEs ให้มากขึ้น
โดยบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด พร้อมผลักดันสินค้าให้กระจายทั่วประเทศ ผ่านเครือข่ายกว่า 50,000 แห่ง และเว็บไซต์ของไปรษณีย์ไทย ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม e-Marketplace ที่รวบรวมสินค้าของไทยไว้กว่า 20,000 รายการจากผู้ประกอบการกว่า 6,000 ราย รวมถึงช่องทางจำหน่ายสินค้าออฟไลน์ผ่านร้านค้า ThailandPostMart 17 สาขาในพื้นที่เศรษฐกิจ ซึ่งในปี 2566 สามารถสร้างรายได้กว่า 200 ล้านบาท โดยไปรษณีย์ไทยยังมีแผนในการให้บริการขนส่งสินค้าเข้าคลัง Amazon เพื่อขยายโอกาสและช่องทางให้กับผู้ประกอบการไทยได้ส่งสินค้าไปขายยังต่างประเทศอีกด้วย นอกจากนี้ยังเตรียมเปิดพื้นที่รับวัสดุเหลือใช้ให้แก่สถานประกอบการ ภายใต้โครงการ Green Hub เพื่อนำเข้าสู่การจัดการอย่างถูกวิธี ลดขยะในสถานประกอบการ สนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนตามหลักการ Circular Economy และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน
“นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการพัฒนาและสนับสนุนสินค้าวิสาหกิจชุมชน มุ่งยกระดับสินค้าไทยสู่ตลาดโลก ซึ่งเป็นการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น โดยหน่วยงานภาครัฐพร้อมสนับสนุนอง์ความรู้ หาช่องทางตลาดทั้งเก่าและใหม่ ขยายกลุ่มเป้าหมายสู่ตลาดต่างชาติ เพิ่มมูลค่าการส่งออก สร้างรายได้กลับคืนสู่ท้องถิ่นอีกทางหนึ่ง” นางรัดเกล้า กล่าว.-317-สำนักข่าวไทย