กรุงเทพฯ 24 มิ.ย. – บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว การปรับลดดอกเบี้ยของหลายประเทศ และการเบิกจ่ายงบประมาณของไทยที่เร่งตัวขึ้น หนุนเศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโตได้ 2.5% หวังให้มาตรการกระทรวงการคลังที่จะมีการแถลงในเย็นวันนี้ เพิ่มทั้งปริมาณการซื้อขายและปรับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ให้สูงขึ้น คาดสิ้นปี 67 แตะที่ 1,500 จุด
นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกในไตรมาส 3 ปี 2567 แสดงสัญญาณการฟื้นตัวอย่างพร้อมเพรียงกัน โดยพัฒนาการการฟื้นตัวจะไล่มาจากเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ต่อมายังยุโรป และเอเชีย โดยเฉพาะภาคการผลิต (PMI) ที่ฟื้นตัวขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจจีนได้ปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นในเกือบทุกมิติ ทั้งการคลัง การเงิน และภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นปัญหาเรื้อรังในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีมาตรการหนุนความเชื่อมั่นในด้านตลาดทุน ขณะที่เงินเฟ้ออยู่ในทิศทางชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป นำไปสู่การลดดอกเบี้ยนำโดยฝั่งยุโรป รวมถึงสหรัฐอเมริกาที่คาดจะเกิดในช่วงปลายปี ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
สำหรับสถานการณ์ตลาดทุน จากที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว จะทำให้การลงทุนในตลาดในหลักทรัพย์ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังได้ผลบวกจากเบิกจ่ายงบประมาณ 2567 เป็นปัจจัยสนับสนุนผลประกอบการที่คาดว่า จะเร่งตัวขึ้นในครึ่งปีหลัง ประเมินเป้า SET Index 1,500 จุด
นายปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน เปิดเผยว่า ทิศทางเศรษฐกิจมหภาคกำลังจะเปลี่ยนไป ซึ่งแนวโน้มการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในภาพใหญ่กำลังจะฟื้นตัวขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจโลก ขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกจะเริ่มมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยลง โดยธนาคารกลางสหรัฐจะลดดอกเบี้ยได้ 2 ครั้งในปีนี้ ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปจะลดได้ 3 ครั้ง ด้านจีนจะกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการการคลัง และทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง
ส่วนเศรษฐกิจไทยนั้น เห็นว่า ไตรมาสที่ 1 เป็นจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจไทยและกำลังจะฟื้นตัวขึ้น ด้านความเสี่ยงที่ต้องจับตาในไตรมาสนี้ได้แก่ ประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างจีนและชาติตะวันตก รวมถึงความเสี่ยงด้านการเมืองไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีของนายกรัฐมนตรี ในภาพรวมคาดว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในระดับ 2.5% ในปี 2567 และ 3.0% ในปี 2568
นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ กล่าวถึงกลยุทธ์การลงทุนไตรมาส 3 ปี 2567 ว่า จะมีการเปลี่ยนกลุ่มจากการลงทุนหุ้นเติบโตไปยังหุ้นคุณค่าและหุ้นวัฏจักร ไม่รวมกลุ่มเทคโนโลยี เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกช่วยให้ความเชื่อมั่นปรับตัวดีขึ้น แม้ตลาดหุ้นไทยยังคงถูกลดน้ำหนักการลงทุน (underweight) แต่แนวโน้มผลประกอบการที่จะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับความตึงเครียดทางการเมืองที่คลี่คลายลง และการเบิกจ่ายของภาครัฐที่เร่งตัวขึ้น จะเป็นปัจจัยสนับสนุนด้านปัจจัยพื้นฐาน ทำให้ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ลดช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างตลาดที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุดได้แก่ ไต้หวัน อินเดีย และแย่ที่สุดคือ ไทยและอินโดนีเซีย
นายวิศกรณ์ คีรีวรรณ CFA ผู้อำนวยการ Investment Strategist ฝ่าย Wealth Products & Strategy บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า ในไตรมาส 3 นั้น คาดว่านักลงทุนจะได้เริ่มเห็นภาพการแยกทางหลัก ๆ 3 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ 1.ด้านนโยบายการเงิน นักลงทุนจะได้เห็นการเดินหน้าลดดอกเบี้ยตามแผนเดิมของหลายธนาคารกลางในเอเชีย ในขณะที่ทางยุโรปนั้นได้ประเดิมลดดอกเบี้ยไปก่อนแล้วจากภาพเศรษฐกิจมหภาคที่ยังอ่อนแอ ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องตรึงดอกเบี้ยไปจนกว่าจะสิ้นปลายไตรมาสที่ 3
- ด้านนโยบายการคลังและการเมือง ด้านการเมืองระหว่างประเทศมีแนวโน้มที่จะมีผลกระทบกับตลาดการเงินโลกน้อยลง เนื่องจากสหรัฐฯ เข้าสู่การหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีโค้งสุดท้าย ประกอบกับนโยบายการสนับสนุนการสู้รบในยูเครน-รัสเซีย ตลอดจนเม็ดเงินสนับสนุนอิสราเอลนั้นมีโอกาสที่ไม่มีการอัดฉีดเพิ่มเติมจากปัญหาการคลังของสหรัฐฯ ที่ตึงตัว ในขณะที่ประเทศอื่นๆ จะเริ่มพิจารณานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศตนเอง มากกว่าที่จะสนใจความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 3.ตัวแปรที่หนุนการเติบโตของตลาดทุนแต่ละประเทศ โดยภาพการลงทุนโดยรวมจะมีแรงหนุนด้านการลงทุนแต่ละประเทศแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยทางสหรัฐฯ จะมาจากการรายงานกำไรของกำไรในกลุ่มเทคโนโลยีเป็นหลัก ตลาดทุนจีนจะมาจากการออกนโยบายแผนเศรษฐกิจในระยะยาวผ่านการประชุม 3rd Plenum และยุโรปจะฟื้นตัวจากเศรษฐกิจมหภาคในจุดต่ำสุดพร้อมกับแรงส่งจากการลดดอกเบี้ย
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดหวังมาตรการของกระทรวงการคลังในกระตุ้นตลาดทุนซึ่งเย็นวันนี้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะแถลงรายละเอียดร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ว่า ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long – Term Equity Fund : LTF) ขึ้นมาใหม่หรือปรับปรุงเงื่อนไขกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนหรือ “Thai ESG” ถือว่า ดีทั้งนั้น
นับจากไตรมาส 2/2567 เงินลงทุนไหลออกจากตลาดทุนไทย จนถึงปัจจุบัน แม้ผลตอบแทนของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะมีแนวโน้มดีขึ้น แต่กระแสเงินยังไม่ไหลกลับ ดังนั้นจึงต้องมีมาตรการจูงใจนักลงทุน โดยทั้งการรื้อฟื้น LTF และปรับเกณฑ์ Thai ESG จะทำให้เงินทุนกลับเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ โดยเฉพาะจากนักลงทุนสถาบัน ส่งผลให้ทั้งปริมาณการซื้อขายและดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้น แต่ทั้งนี้ต้องรอฟังรายละเอียดที่ชัดเจนในเย็นวันนี้. -512 – สำนักข่าวไทย