รัฐสภา 21 มิ.ย.-“พิพัฒน์” รมว.แรงงาย ขอบคุณ สส.ไม่ถกงบกระทรวงแรงงาน แต่ขอแจงเอง ชวนพรรคการเมืองระดมสมองแก้ปัญหากองทุนประกันสังคมล้มละลาย ลุยพัฒนาคนให้สอดคล้องอุตสาหกรรม EV
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2568 ตอบข้อซักถามกรณีรถ EV จะเข้ามาทดแทนรถยนต์ระบบสันดาปในปัจจุบัน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ได้เตรียมความพร้อม เพราะภายใน 5 ปี ตั้งแต่ 2567-2573 จะมีเพื่อน ๆ แรงงานที่ถูกปลดจากอุตสาหกรรมรถยนต์ระบบสันดาปประมาณ 2 แสนคน ซึ่งกรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้ลงนามร่วมกับกระทรวงอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีรถยนต์ EV ทำให้มั่นใจว่าในระยะเวลา 5 ปี เมื่อมีการตั้งโรงงานและผลิตรถยนต์ EV ในไทย กระทรวงแรงงานจะสามารถปรับเปลี่ยนบุคลากรให้เข้าสู่อุตสาหกรรม EV ได้ตามความต้องการ
หากถึงจุดที่รถยนต์ระบบสันดาปต้องหมดไปจากโลกใบนี้ กระทรวงแรงงานไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้ร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงอุดมศึกษาฯ พัฒนานักเรียนนักศึกษาที่จะสำเร็จการศึกษา ให้สอดคล้องกับอุตสาหกรรม EV และเซมิคอนดักเตอร์ ทั้งยังทำเครดิตแบงค์กับสถาบันการศึกษา เอาความชำนาญมาเปรียบเทียบเป็นหน่วยกิต สมมติว่าจบการศึกษาระดับ ปวช.และ ปวส.สามารถเอาหน่วยกิตไปเทียบเพื่อสำเร็จการศึกษาในระดับอุดมศึกษา นอกจากนี้ยังร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย 1 หมู่บ้าน 1 ช่างไฟฟ้า หากตกงานก็ไม่ต้องออกไปทำงานนอกพื้นที่ สามารถอยู่ในหมู่บ้านตนเอง ตำบลตนเอง หรืออำเภอตนเอง เพื่อประกอบอาชีพอิสระได้
ส่วนข้อกังวลเรื่องกองทุนประกันสังคม สถานะกองทุนสะสมเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 2.5 ล้านล้านบาท โดยคาดว่ากองทุนจะถึงจุดสูงสุดในปี 2578 มีเงินสะสมในกองทุน 5 ล้านล้านบาท จากนั้นถึงปี 2597 จะปรับสภาพเหลือศูนย์ เพราะสังคมไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย สำนักประกันสังคมจึงได้เตรียมความพร้อม แก้ปัญหาการล้มละลายของกองทุนประกันสังคม เพราะเป็นเงินของเพื่อนแรงงานทุกคน
ที่ผ่านมากระทรวงแรงงานได้ระดมสมอง เชิญพรรคการเมืองเข้าเสวนา 31 พ.ค.67 และจะเชิญมาเสวนาในเดือน ต.ค. โดยมอบหมายให้ปลัดกระทรวงแรงงานส่งหนังสือเชิญไปยังทุกพรรคการเมืองแล้ว เพราะเป็นปัญหาของทุกพรรคการเมืองเช่นกัน
“วันนี้ผมนั่งดูอยู่ตรงนี้ แต่อนาคตระยะใกล้หรือระยะไกล ไม่แน่ใจเพื่อน ๆ หลายคนอาจจะต้องหมุนเวียนเข้ามาดูแลกระทรวงแรงงาน ถือเป็นความรับผิดชอบของพวกเราทุกคน” นายพิพัฒน์ กล่าว
นายพิพัฒน์ ฝากถึงคณะกรรมาธิการวิสามัญเรื่องงบประมาณ แม้ปีนี้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้งบประมาณที่เพิ่มขึ้น แต่ไม่เพียงพอกับการสร้างงาน เพราะปัจจุบันมีคนจบจากสถาบันการศึกษา มีแรงงานเข้าสู่ระบบมากกว่า 5 แสนคน และมีคนเกษียณหลังอายุ 55-60 ปี ประมาณ 1.5 แสนคน เป็นภาระและหน้าที่ของกระทรวงแรงงาน
ตนเองพยายามเดินทางไปในประเทศต่าง ๆ เพื่อเจรจากับกระทรวงแรงงานในแต่ละประเทศ ขอให้คนไทยมีโอกาสเข้าไปทำงานในประเทศนั้น ๆ ขณะนี้ประเทศไทยมีการส่งแรงงานไปยังมาเลเซีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อิสราเอล ภาคตะวันออกกลาง ยุโรปบางประเทศ โดยปีนี้กระทรวงแรงงานตั้งเป้าจะส่งแรงงานออกนอกประเทศไม่น้อยกว่า 1 แสนคน คาดว่าปีนี้จะส่งได้มากกว่า เพราะสิ้นเดือน มิ.ย.ส่งออกไปแล้ว 6 หมื่นคน
“ผมขอบคุณเพื่อนสมาชิกผู้ทรงเกียรติที่ไม่ได้อภิปรายงบประมาณปี 2568 ของกระทรวงแรงงานแต่อย่างใด แต่ขอโอกาสขึ้นมาชี้แจงให้เพื่อนสมาชิกผู้ทรงเกียรติได้รับทราบ” นายพิพัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย.-317.-สำนักข่าวไทย