กรุงเทพฯ 7 มิ.ย. – นักเศรษฐศาสตร์หนุน “หวยเกษียณ” ตอบโจทย์แก้ปัญหาสวัสดิการผู้สูงอายุ เป็นเครื่องมือเติมเต็มให้กับกลุ่มที่ไม่มีความคุ้มครองในระยะยาว ออกแบบถูกจริตคนไทย ชี้ไม่ใช่การมอมเมาแต่ช่วยดึงสติวางแผนการออมเพื่ออนาคต แนะยังต้องศึกษาเชิงลึก กอช.จะบริหารกองทุนอย่างไรให้เกิดสมดุล
หลังจากนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ออกมาเปิดเผยว่ากระทรวงการคลัง กำลังพิจารณานโยบาย “สลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณ” หรือ “หวยเกษียณ” รูปแบบสลากดิจิทัลออกโดยกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) จำหน่ายใบละ 50 บาท ซื้อได้ไม่เกิน 3,000 บาท ต่อเดือน ออกรางวัลทุกวันศุกร์ รางวัลที่ 1 จำนวน 1 ล้านบาท ส่วนสลากที่ไม่ถูกรางวัลจะเก็บสะสมเป็นเงินออม ไม่สามารถถอนเงินออกมาได้จนกว่าจะอายุครบ 60 ปี กลุ่มเป้าหมายหลัก 20 ล้านคน ประกอบด้วย สมาชิก กอช., ผู้ประกันตนมาตรา 40 และแรงงานนอกระบบ โดยอาจมีกลุ่มเป้าหมายเพิ่มเติมภายหลังนั้น
ทีมข่าวสำนักข่าวไทย สอบถามเรื่องนี้กับ อ.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความคิดเห็นว่าสังคมไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุ ที่มีจำนวนผู้สูงวัยเพิ่มขึ้น ซึ่งกลุ่มที่เข้าสู่วัยสูงอายุแล้วไม่สามารถออมได้แล้ว ขณะที่กองทุนต่างๆ ที่จะสนับสนุนก็มีไม่เพียงพอ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องหาเงินมาเพิ่มเพื่อดูแลคนสูงอายุในปัจจุบัน รวมไปถึงหาแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต “หวยเกษียณ” จึงเป็นมาตรการที่น่าสนใจที่จะสามารถตอบโจทย์ได้ หากคนที่เริ่มออมวันนี้จะทำให้ กอช.มีเงินสำหรับดูแลผู้สูงอายุในวันนี้ และคนที่เราออมวันนี้ ก็จะมีเงินออมในวัยเกษียณ เช่น อายุ 30 ปี ออมเดือนละ 750 บาท เมื่อครบอายุ 60 ปีก็จะมีเงินติดตัว 1,000,000 กว่าบาท ถือว่าเป็นเงินตั้งต้นในวัยเกษียณได้พอสมควร ในระยะสั้นจะสามารถช่วยแก้ปัญหาสภาพคล่องสำหรับคนอายุมากและเงินออมน้อย ขณะเดียวกันช่วยให้คนรุ่นต่อๆ ไปเกิดการออม และที่สำคัญเมื่อคนเริ่มออมแบบนี้เป็นก็จะทำให้เกิดการออมรูปแบบอื่นๆ ตามมาเหมือนเป็นโรคติดต่อ
“มองว่าเข้ากับบริบทประเทศไทยเนื่องจากคนไทยชอบความสนุกความท้าทาย โดยเฉพาะเรื่องหวยเป็นวาระแห่งชาติของคนไทย ที่ลุ้นกันทุก 15 วัน แต่ ถ้าเล่นแล้วไม่ถูกก็คือจบ เสียแล้วเสียเลย แต่หวยเกษียณ มีแต่เท่าทุนกับได้กำไร ดังนั้น จึงมองว่าไม่ใช่การพนันในนิยามปกติ เนื่องจากการพนันปกติมีได้มีเสีย แต่หวยเกษียณมีแต่ได้กับได้มากกว่า อย่างไรก็ตาม ต้องมีกลไกป้องกันว่าจะทำอย่างไรให้รางวัลที่ได้ไปกระทบกับกองทุนว่าโอกาสที่ได้มันยากเกินไปจนกระทั่งคนเข้ามาร่วมในกองทุนนี้“ อ.เกียรติอนันต์ กล่าว
สำหรับการกำหนดเงื่อนไขให้เฉพาะผู้ประกันตนและแรงงานนอกระบบ เนื่องจากวัตถุประสงค์ไม่ต้องการให้คนที่มีรายได้มากอยู่แล้วเข้าไปซื้อหวย จะยิ่งทำให้ฐานกว้างเกินไป จนทำให้คนที่มีรายได้น้อย และต้องการเสี่ยงโชคด้วย ทำให้โอกาสถูกหวยน้อยลง นอกจากนี้กลุ่มที่อยู่ในระบบประกันสังคมและข้าราชการก็มีกองทุนดูแลอยู่แล้ว เรียกได้ว่า “หวยเกษียณ” เป็นเครื่องมือในการเติมเต็มกลุ่มที่ยังไม่สามารถหาเครื่องมือใดๆ มาดูแลได้ มาอุดช่องว่างให้กับกลุ่มที่ไม่มีความคุ้มครองในระยะยาว และออกแบบถูกจริตคนไทย
กรณีสังคมมีการตั้งข้อสังเกตว่าจะเป็นการมอมเมาหรือไม่นั้น มองว่าไม่ใช่การมอมเมาแต่เป็นการทำให้คนมีสติมากขึ้นในการวางแผนการออมเพื่ออนาคต หากเป็นการมอมเมาจะมีการใช้จ่ายเกินตัวจนกระทบกับคุณภาพชีวิตด้านอื่น ๆ เช่น ติดเหล้าติดพนันจนไม่สามารถดูแลครอบครัว นอกจกานี้ยังมีงานวิจัยของจุฬาฯ พบว่ามีวงเงินที่สูญเสียไปกับการพนันมูลค่า 3.4 แสนล้านต่อปี มาตรการนี้มีส่วนหนึ่งในการดึงเงินพนันเหล่านี้กลับเข้ามาในระบบมากกว่า อย่างไรก็ตาม มีข้อเสนอแนะว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังต้องมีการศึกษาเชิงลึกว่าหากมีหวยเกษียณ จะทำให้คนที่ซื้อหวยอื่นๆ อยู่แล้ว มีค่าใช้จ่ายเพิ่มหรือไม่ หากมีกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นมากก็จำเป็นต้องมาคิดกันใหม่ รวมไปถึงจะมีนักออมหน้าใหม่เกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน
ความท้าทายคือ กอช.จะบริหารเงินก้อนนี้ให้มีผลตอบแทนที่สูงขึ้นได้อย่างไร เนื่องจากกองทุนที่จะยั่งยืนต้องมีอัตราการไหลเข้า-ออกของเงินที่สมดุลกัน และกองทุนต้องโตตามความต้องการของคนด้วย ซึ่งทั้งหมดต้องมีการศึกษาเชิงลึก ซึ่งมองว่าหากทำได้จริงก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเป็นการต่อยอดสิ่งที่มีอยู่ และอาจมีมาตรการเสริม เช่น ออม + ประกัน คนที่ซื้อหวยเกษียณ อาจแบ่งบางส่วนไปใส่ในกองทุนประกันอุบัติเหตุ ที่จะช่วยลดภาระด้านการเงิน เป็นต้น
“อย่างไรก็ตาม ยังต้องส่งเสริมความรู้ทางการเงิน (financial literacy) เพิ่มเติม ซึ่งเป็นสิ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำมาโดยตลอด ถือเป็นรากฐานการใช้ชีวิตของคนยุคใหม่ เช่น ถ้าชอบพนันแล้วมี financial literacy ก็อาจช่วยเสริมความคิดว่าฉันเลิกพนันไม่ได้แต่ฉันเลือกที่จะพนันที่ทำให้อนาคตความมั่นคง และต้องอาศัยกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมที่หลากหลายจะไปสอนในชั้นเรียนอย่างเดียวไม่ได้เพราะคนที่มีความเปราะบางทางการเงินมากที่สุดคือ กลุ่มคนที่อยู่ในตลาดแรงงาน และกลุ่มผู้สูงวัย อาจต้องเปลี่ยนวิธีการสื่อสารให้เหมาะกับแต่ละกลุ่มมากขึ้น” อ.เกียรติอนันต์ กล่าว. -516-สำนักข่าวไทย