กรุงเทพฯ 21 พ.ค.- ธนาคารพาณิชย์ ไตรมาส 1/67 มีกำไรสุทธิ 68,000 ล้านบาท ขยายตัว 14.7% และเติบโต 28.7% สินเชื่อขยายตัว 0.7%
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยภาพรวมธนาคารพาณิชย์ไทยไตรมาส 1 ปี 2567 ระบบธนาคารพาณิชย์มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ โดยมีเงินกองทุน เงินสำรอง และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง โดยมีกำไรสุทธิ 68,000 ล้านบาท ขยายตัว 14.7% และเติบโต 28.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ ไตรมาส 1 ปี 2567 กลับมาขยายตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.7 จากระยะเดียวกันปีก่อน จากสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอาหาร ปิโตรเลียมและเคมีภัณฑ์ ขณะที่สินเชื่ออุปโภคบริโภคขยายตัวชะลอลงในเกือบทุกพอร์ต ยกเว้นสินเชื่อรถยนต์ที่ยังคงหดตัว
ทั้งนี้ ยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพ (non-performing loan: NPL หรือ stage 3) ไตรมาส 1 ปี 2567 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 502.6 พันล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมที่ร้อยละ 2.74 เพิ่มขึ้นโดยหลักจากสินเชื่อธุรกิจ(ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการจัดชั้นเชิงคุณภาพ) และสินเชื่อที่อยู่อาศัย ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ยังบริหารจัดการคุณภาพหนี้และให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง สำหรับสัดส่วนสินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม (significant increase in credit risk: SICR หรือ stage 2) อยู่ที่ร้อยละ 6.13 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยส่วนหนึ่งเป็นลูกหนี้ที่ยังชำระหนี้ได้ตามสัญญา แต่ถูกจัดชั้นเชิงคุณภาพ
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2567 ปรับดีขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยหลักจากค่าใช้จ่ายดำเนินงาน
และค่าใช้จ่ายสำรองที่ลดลง ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงจากต้นทุนเงินรับฝากที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้
Net Interest Margin (NIM) ของระบบธนาคารพาณิชย์ปรับลดลง
อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามความสามารถในการชำระหนี้ธุรกิจ SMEs ขนาดเล็ก และครัวเรือนบางกลุ่ม
ที่ยังมีฐานะการเงินเปราะบางจากรายได้ที่ฟื้นตัวช้า ซึ่งคาดว่าจะยังส่งผลให้ NPL ทยอยปรับเพิ่มขึ้น
แต่ยังอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้และไม่เกิดการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด (NPL cliff)
โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ไตรมาส 4 ปี 2566 ปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย ขณะที่ภาคธุรกิจมีสัดส่วนหนี้สินต่อ GDP ทรงตัวจากเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัวและการก่อหนี้ที่กลับมาเร่งขึ้นเล็กน้อย
ด้านความสามารถในการทำกำไรโดยรวมยังคงปรับดีขึ้นจากปีก่อน แต่ปรับลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าจาก
ภาคการผลิตและการส่งออกที่ชะลอลง ขณะที่ ภาคบริการบางกลุ่มยังเผชิญแรงกดดันจากต้นทุนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง
ขณะที่ความคืบหน้าของมาตรการ Responsible Lending (RL) ที่ดำเนินการตั้งแต่ 1 ม.ค.2567 โดยธปท.ติดตามความคืบหน้าของโครงการอย่างใกล้ชิด ซึ่งมีจำนวนบัญชีที่ได้รับความช่วยเหลือสะสม 3.71 ล้านบัญชี ยอดภาระหนี้ที่ได้รับความช่วย 0.92 ล้านล้านบาท ขณะที่ลูกหนี้ที่มีปัญหาหนี้เรื้อรัง (PD) พบว่า ลูกหนี้ที่เริ่มมีปัญหาหนี้เรื้อรัง มีทั้งสิ้น 1.33 ล้านบัญชี ยอดภาระหนี้ 60,882 ล้านบาท ด้านลูกหนี้ที่เป็นหนี้เรื้อรัง พบว่า มีทั้งสิ้น 0.48 ล้านบัญชี ยอดภาระหนี้ 14,433 ล้านบาท โดยธปท.ติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งหากมีการเข้าร่วมน้อย ธปท.จะคุยกับลูกหนี้ที่ไม่เข้าว่าสาเหตุเกิดจากอะไร และจะมีการปรับมาตรการเพิ่มเติมหรือไม่ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2567 .-516-สำนักข่าวไทย