ศรีสะเกษ 10 ส.ค.-ออกหมายเรียกแล้วทหารยศร้อยเอก พร้อมยึดรถตรวจสอบ หวังคลายปมสาว อบต.หายตัวลึกลับ
จากกรณีที่ น.ส.จุฑารัตน์ หรืออ้อย อุ่นอ่อน อายุ 37 ปี ผอ.กองการศึกษา อบต.ชำ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ หายตัวปริศนาพร้อมรถเก๋งโตโยต้า วีออส สีเทา ทะเบียน กษ 8201 เชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมา เป็นเวลานานกว่า 1 เดือนแล้ว หลังส่งบุตรสาววัย 8 ขวบไปโรงเรียน กระทั่ง นายบุญเลิศ อุ่นอ่อน อายุ 62 ปี บิดา ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.บึงมะลู จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 20 ก.ค. และร้องเรียนกับสื่อมวลชนให้ช่วยติดตามคดี
วันนี้ พนักงานสอบสวนยังได้เดินทางไปที่อู่ซ่อมรถไม่มีชื่อที่ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ทำการตรวจยึดอายัดรถเก๋งของ ผอ.อ้อย ซึ่งถูกนำมาทำสีใหม่ที่อู่ดังกล่าว พร้อมนำของกลางไปเก็บรักษาที่ สภ.กันทรลักษ์ โดย นายบุญชู ศิรินนท์ อายุ 47 ปี เจ้าของอู่อ้างว่า “เสี่ย ต.” ซึ่งประกอบธุรกิจเต็นท์รถมือสองอยู่ที่ปากทางหมู่บ้านว่าจ้างให้ทำสีใหม่ จากนั้นเมื่อไปสอบถาม “เสี่ย ต.” ให้การว่า ได้ซื้อรถเก๋งคันดังกล่าวมาโดยถูกต้องตามกฎหมาย ในราคากว่า 2 แสนบาท เมื่อพบว่าสีเดิมนั้นค่อนข้างโป๊วหนา อาจทำให้ราคาตกและขายต่อได้ยากจึงได้นำมาทำสีใหม่ ให้ดูเรียบเนียนและใช้สีเทาเหมือนเดิม ในราคา 15,000 บาท โดยไม่ได้มีเจตนาที่จะเปลี่ยนแปลงสีรถแต่อย่างใด อีกทั้งยังไม่ระแคะระคายมาก่อนว่าเป็นรถที่มีปัญหาเพราะเอกสารการซื้อขาย และเอกสารการโอนลอยไม่มีอะไรที่ผิดปกติหรือน่าสงสัย และก่อนจะโอนมาถึงตนเองก็เป็นทอดที่ 3 แล้ว กระทั่งตำรวจตามมาตรวจยึด
ขณะที่ พ.ต.ท.สังวร วันทะวี สว.สอบสวน สภ.กันทรลักษ์ ได้นำหมายเรียกผู้ต้องหาไปส่งให้นายทหารพระธรรมนูญ ที่กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 6 ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ให้ควบคุมตัวทหารยศร้อยเอก ซึ่งประจำการอยู่ที่เทือกเขาพนมดงรัก ชายแดนไทย-กัมพูชาด้านเขาพระวิหาร ไปพบพนักงานสอบสวนที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ ในวันที่ 11 ส.ค.นี้ เวลา 13.30 น. ในข้อหา “กักขังหน่วงเหนี่ยว ให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายฯ”
ทั้งนี้ จากแนวทางการสืบสวนทางเทคนิคพบว่า ผอ.อ้อย กับ ร.อ. อยู่ด้วยกันตั้งแต่วันที่หายตัวไปในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ก่อนจะตรวจสอบไม่ได้ในวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา
ส่วนประเด็นการโอนเงินนับแสนนั้น ผู้สื่อข่าวไปพบกับผู้ใหญ่บ้านหมู่ 10 ตำบลเสาธงชัย ซึ่งเป็นญาติกับ ผอ.สาว เปิดเผยว่า หลังจากที่หลานสาวหายตัว พบว่ามีการไลน์ไปขอยืมเงินจากเพื่อนทั้งที่ทำงานและเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันหลายราย จนเพื่อนโทรศัพท์มาถามพี่สาวว่า อ้อย หรือนางสาวจุฑาภรณ์ มีปัญหาอะไร ทำไมเดือดร้อนเรื่องเงิน ถึงกับยืมเงินเพื่อน เมื่อก่อนเขาเป็นคนมีฐานะดี ไม่เคยเดือดร้อนเรื่องเงินมีแต่ช่วยเหลือเพื่อนให้เพื่อนหยิบยืม พี่สาวจึงได้ไปขอตรวจสอบบัญชีกับทางธนาคารพบว่า บัญชีมีการเคลื่อนไหวหลายครั้ง มีการโอนเงินออกจากบัญชีครั้งละหลายหมื่น ก่อนที่จะหายตัวไปพบมีการโอนเงินเข้าบัญชีของผู้หญิงคนหนึ่งตรวจสอบแล้วพบเป็นแม่ของคนมีสีคนหนึ่ง (เป็นทหารยศร้อยเอก) หลังจากที่หายตัวไปแล้วก็มีการโอนเงินเข้าบัญชีของคนมีสีคนนั้นอีกหลายครั้ง หลังจากที่ยืมเงินเพื่อน พอเงินเข้าบัญชีเรียบร้อยก็จะมีการโอนออกทันที รวมแล้วมีเงินออกจากบัญชีหลานสาวสองแสนกว่าบาท
จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีนี้พบว่า เส้นทางการเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารของ น.ส.จุฑาภรณ์ ที่มีการใช้ไลน์ของ น.ส.จุฑาภรณ์ ส่งไลน์ไปขอยืมเงินไปจากญาติพี่น้องของ น.ส.จุฑาภรณ์ หลายครั้งรวมเป็นเงิน จำนวนกว่า 300,000 บาทเศษนั้น ได้มีการโอนเงินต่อไปเข้าบัญชีธนาคารของทหารยศ ร.อ.คนดังกล่าว ซึ่งพนักงานสอบสวนได้รวบรวมไว้เป็นหลักฐานเพื่อประกอบการดำเนินคดีต่อไปแล้ว ส่วน น.ส.จุฑาภรณ์ ที่หายตัวไปแล้วนั้น ยังไม่รู้ชะตากรรมแต่อย่างใด.-สำนักข่าวไทย