นนทบุรี 29 ก.พ.-อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเปิดเผยตัวเลขการใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลง FTA ตลอดทั้งปี 2566 ตั้งแต่เดือนมกราคม – ธันวาคม มีมูลค่ารวม 81,589.24 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยอันดับที่หนึ่งที่มีการใช้สิทธิฯ เป็นตลาดอาเซียน ตามด้วยอาเซียน – จีน ไทย – ญี่ปุ่น ไทย – ออสเตรเลีย และอาเซียน – อินเดีย
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยตัวเลขการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าสำหรับการส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ตลอดทั้งปี 2566 มีมูลค่าส่งออกรวมตั้งแต่เดือนมกราคม-ธันวาคม อยู่ที่ 81,589.24 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 82.31 % ของมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ไทยได้รับสิทธิประโยชน์ภายใต้ FTA
โดย FTA ที่ไทยใช้สิทธิฯ ส่งออกมากเป็นอันดับหนึ่งตลอดทั้งปี 2566 เป็นความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) มีมูลค่า 29,871.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ คิดเป็น 75.75 % ของมูลค่าการส่งออกของสินค้าที่ได้รับสิทธิฯ ซึ่งเป็นการใช้สิทธิฯ ส่งออกไปเวียดนามสูงที่สุดมูลค่า 7,540.08 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับที่สองอินโดนีเซีย มูลค่า 7,127.58 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับที่สามเป็นมาเลเซีย มูลค่า 6,839.56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามด้วย ฟิลิปปินส์ มูลค่า 5,385.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และกัมพูชา มูลค่า 1,018.45 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ สำหรับสินค้าที่มูลค่าการใช้สิทธิฯ สูงที่สุด 5 อันดับแรกภายใต้ความตกลง AFTA ได้แก่ ยานยนต์สำหรับขนส่งของที่น้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 5 ตัน น้ำตาลที่ได้จากอ้อย น้ำมันปิโตรเลียมและน้ำมันจากแร่บิทูมินัส เครื่องจักรอัตโนมัติและรถยนต์สำหรับขนส่งบุคคล ความจุกระบอกสูบเกิน 1,500 – 2,500 ลบ.ซม.
ขณะที่ ความตกลง FTA ฉบับอื่นของไทยที่มีการใช้สิทธิประโยชน์สูงรองจากความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) ได้แก่ อันดับ 2 ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน – จีน (ACFTA) มูลค่า 23,495.59 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ เป็น 92.94 % ของมูลค่าการส่งออกของสินค้าที่ได้รับสิทธิฯ โดยสินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูงที่สุด 5 อันดับแรกภายใต้ความตกลง ACFTA ได้แก่ ทุเรียนสด ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ มันสำปะหลัง สตาร์ชทำจากมันสำปะหลัง และโพลิเมอร์ของเอทิลีน อันดับ 3 เป็นความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย – ญี่ปุ่น (JTEPA) มูลค่า 6,803.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐมีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 77.84 % ของมูลค่าการส่งออกของสินค้าที่ได้รับสิทธิฯ โดยสินค้าสำคัญที่มูลค่าการใช้สิทธิฯ สูงที่สุดภายใต้ความตกลงฯ ยังคงเป็นเนื้อไก่ปรุงแต่ง อันดับ 4 ความตกลงการค้าเสรีไทย – ออสเตรเลีย (TAFTA) มูลค่า 6,280.45 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 60.80 % ของมูลค่าการส่งออกของสินค้าที่ได้รับสิทธิฯ โดยสินค้าสำคัญที่มูลค่าการใช้สิทธิฯ สูงที่สุดภายใต้ความตกลงฯ เป็นรถยนต์และยานยนต์ที่มีเครื่องดีเซลหรือกึ่งดีเซล และความตกลงฯ ที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ เป็นอันดับ 5 คือ ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน – อินเดีย (AIFTA) มูลค่า 5,410 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 69.42 % ของมูลค่าการส่งออกของสินค้าที่ได้รับสิทธิฯ โดยมีลวดทองแดง เป็นสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์สูงที่สุดภายใต้ความตกลงดังกล่าว
นอกจากนี้ ได้คาดการณ์แนวโน้มการใช้สิทธิ FTA ในปี 2567 ว่าการใช้สิทธิ FTA มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นจากปี 2566 ผลมาจากนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริมการส่งออกผ่านการใช้สิทธิ FTA โดยอันดับหนึ่งคาดว่าจะยังคงเป็นตลาดอาเซียน สิ่งที่น่าจับตามองในปี 2567 ของตลาดอาเซียน คือ สถิติการใช้สิทธิฯ สำหรับการส่งออกไปยังเวียดนามที่เพิ่มสูงขึ้นแซงหน้าอินโดนีเซียระหว่างเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม 2566 ซึ่งคาดว่าในปี 2567 ตลาดเวียดนามจะยังคงเป็นตลาดอาเซียนที่ไทยใช้สิทธิฯ ผ่านความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับตลาดจีน จากข้อมูลสถิติปี 2566 พบว่าอุตสาหกรรมส่งออกทุเรียนสดยังคงเป็นสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกสูงที่สุดภายใต้ความตกลงดังกล่าวติดต่อกันหลายเดือนในปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มที่ทุเรียนไทยจะยังคงครองตลาดในจีนอย่างต่อเนื่องในปี 2567
ทั้งนี้ ภาพรวมการใช้สิทธิ FTA ในปี 2566 พบว่า แม้ว่ามูลค่าการใช้สิทธิฯ ตลอดทั้งปี 2566 ลดลงจากปี 2565 จากเดิมอยู่ที่ 83,679.81 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 81,589.24 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะชะลอตัวและมีอัตราการฟื้นตัวช้าในช่วงปลายปี 2565 ถึงต้นปี 2566 แต่เมื่อพิจารณาสัดส่วนการใช้สิทธิฯ แล้ว จะเห็นว่าผู้ประกอบการไทยหันมาใช้สิทธิ FTA เพิ่มขึ้นมากขึ้น จากเดิมที่ 81.18% ของมูลค่าการส่งออกของสินค้าที่ได้รับสิทธิฯ เป็น 82.31% ในปี 2566 สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการไทยตระหนักถึงความสำคัญของการใช้สิทธิ FTA ที่มีส่วนช่วยในการสร้างแต้มต่อในการส่งออก ลดต้นทุน ทำให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
“FTA ถือเป็นอาวุธสำคัญที่เพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไทย โดยในปี 2567 นี้ กรมการค้าต่างประเทศ ในฐานะหน่วยงานหลักในการส่งเสริมการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ FTA มีแผนจัดการสัมมนาเพื่อให้ความรู้และติดอาวุธให้แก่ผู้ประกอบการภายใต้โครงการส่งเสริม SME ให้แข่งขันได้ในตลาดสากล เรื่องยกระดับการค้าสู่สากลด้วยสิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ FTA อีก 5 ครั้ง ในจังหวัดชลบุรี เชียงใหม่ ขอนแก่น สงขลา และนครพนม รวมถึง การจัด Workshop ให้ผู้ประกอบการได้ทดลองใช้ระบบตรวจถิ่นกำเนิดสินค้าแบบไร้กระดาษ (ROVERs PLUS) เสมือนจริง เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนกลยุทธ์การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ FTA ตามสถานการณ์ทางการค้าที่เปลี่ยนแปลงไป โดยสามารถติดตามข้อมูลการจัดสัมมนาครั้งต่อไปได้ผ่าน Facebook “กรมการค้าต่างประเทศ DFT”นายรณรงค์กล่าว .-514-สำนักข่าวไทย