นนทบุรี 29 มิ.ย.-แม่กับน้องบีม เด็กพิการนั่งวีลแชร์ เข้าพบผู้ว่าฯ นนทบุรี ขอความเป็นธรรม กรณีถูกทนายความโกงเงิน 5 ล้านบาท ทำให้ต้องอยู่อย่างลำบาก เร่ขายของในงานศพวัดชลประทานรังสฤษดิ์
กรณีที่ น.ส.พรทิพย์ จันทรัตน์ อายุ 44 ปี และ ด.ญ.ภัทรดา หรือ น้องบีม แก้วผ่อง อายุ 14 ปี บุตรสาวที่พิการเดินไม่ได้ จากอุบัติเหตุรถพ่วงชน ร้องเรียนต่อสื่อมวลชนว่าถูกทนายความอาสารายหนึ่งหลอกเอาเงินค่าสินไหมทดแทนจำนวนกว่า 5 ล้านบาทไป ทำให้สองแม่ลูกต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก โดยแม่ต้องเข็นรถวีลแชร์ให้ลูกสาวนั่งตระเวนขายของตามศาลาวัด เพื่อหาเงินเลี้ยงตัวเอง และบุตรสาว ในแต่ละวันมีแขกที่มาร่วมในงานศพ ต่างพากันสงสารช่วยซื้อของจนเป็นที่ทราบกันดีของชาวบ้านใกล้เคียง รวมทั้งพระภิกษุสงฆ์จนถึงเด็กวัด เพราะเห็นถึงความรักของผู้เป็นแม่ที่มีต่อลูก และผู้เป็นลูกที่มีต่อแม่ โดยทั้งสองคนขายของภายในวัดชลประทานฯ มานานหลายปีแล้วเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพไปวันๆ
เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. น.ส.พรทิพย์ จันทรัตน์ พร้อม ด.ญ.ภัทรดา หรือน้องบีม แก้วผ่อง อายุ 14 ปี บุตรสาว เดินทางเข้าพบ นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี พล.ต.ต.สุศักดิ์ ปรักกมะกุล นายไกรธวัช ทินโสม นายอำเภอปากเกร็ด เพื่อให้ข้อมูลกรณีถูกทนายความคนหนึ่งที่รับว่าความให้กับตนเองและบุตรสาวจากกรณีที่ครอบครัวประสบอุบัติเหตุทำให้สามีเสียชีวิต และบุตรสาวพิการเดินไม่ได้ ยักยอกเงินที่บริษัทรถพ่วงคู่กรณีชดใช้จ่ายให้ 5 ล้านบาทไป
ผู้ว่าฯ นนทบุรี ได้เห็นถึงความยากลำบากจึงได้เสนอแนวทางช่วยเหลือเบื้องต้น โดยทางเหล่ากาชาดนนทบุรีมอบเงินสดให้ 5,000 บาท พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนนทบุรี มอบให้ 2,000 บาท โดยนางสาวพรทิพย์ ยังกล่าวว่า น้องบีมยังค้างค่าเทอมอีก 2 เทอม ทางผู้ว่าฯ นนทบุรี จึงรับปากจะประสานขอยกเว้นจากทางโรงเรียนโดยให้ พมจ.นนทบุรี ทำเรื่องช่วยเหลือในเรื่องค่าเทอมจนจบ ม.3 ซึ่งทางนายนิสิต ได้รับปากจะช่วยเหลือทำเรื่องพร้อมหาทุนให้ในการขายสลากกินแบ่งรัฐบาล ส่วนนายไกรธวัช นายอำเภอปากเกร็ด ก็เตรียมให้น้องบีม มาทำงานช่วยงานกาชาดบนที่ว่าการอำเภอปากเกร็ด มีรายได้เดือนละ 9,000 บาท ไม่ต้องออกไปเร่ขายของเสี่ยงอันตรายให้ลำบาก สร้างรอยยิ้มและซาบซึ้งใจให้กับสองแม่ลูกเป็นอย่างมากจนน้ำตาคลอ
ด้านคดีความทาง พล.ต.ต.สุศักดิ์ ผบก.ภ.จว.นนทบุรี ได้ประสานไปยัง บก.น.7 ซึ่งนางสาวพรทิพย์ได้แจ้งความไว้ เพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบ ซึ่งพบว่าคดีฉ้อโกงทรัพย์ถูกทนายคนดังกล่าวเกลี้ยกล่อมให้ยอมความ ส่วนคดีปลอมแปลงเอกสารก็หมดอายุความ ซึ่งในด้านคดีหากหลักฐานแน่นหนาสามารถแจ้งความใหม่ดำเนินคดีกับทนายผู้นี้ได้
นายสรัลชา ศรีชลวัฒนา เลขาธิการสภาทนายความ กล่าวถึงกรณีนี้ว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นจากสารบบยังไม่พบว่าผู้เสียหายในการณีนี้ เข้ามาร้องเรียนว่า ถูกทนายความคนดังกล่าวยักยอกเงินผู้เสียหายไป แต่ยอมรับว่าทนายความคนนี้ได้ขึ้นทะเบียนกับสภาทนายความจริง ซึ่งขณะนี้ได้ส่งเรื่องให้ ประธานกรรมการมรรยาท สภาทนายความ เรียกทนายความคนนี้ มาสอบถามถึงข้อเท็จจริง หากผลสอบออกมาว่ามียักยอกเงินตามที่ผู้เสียหายกล่าวหาจริง คือ “ตระบัตย์สินลูกความ” ก็จะมีบทลงโทษสูงสุดคือการลบชื่อออกจากสารบบสภาทนายความ นอกจากนี้ก็จะถูกดำเนินคดี ข้อหาลักทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ผู้อื่นด้วย.-สำนักข่าวไทย