กรุงเทพฯ 22 ส.ค.-สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย แนะรัฐบาลใหม่ ตั้งทีมเศรษฐกิจ เรียกความเชื่อมั่น ใช้นวัตกรรม ออกแบบมาตรการ เน้นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ บ่มเพาะผู้ประกอบ
นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า การตั้งรัฐบาลใหม่ ควรมี ทีมเศรษฐกิจ มีความเป็นผู้นำ ทันสมัย การเปลี่ยนแปลงทันต่อสถานการณ์เศรษฐกิจและสังคมโลก ทีมเศรษฐกิจที่ใช้นวัตกรรมในการออกแบบนโยบาย มาตรการ “ไม่เน้นกระตุ้นเศรษฐกิจแจกเงิน แต่มุ่งเน้นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ บ่มเพาะผู้ประกอบการนำภูมิปัญญากระจายโอกาส กระจายรายได้จากการพัฒนาผู้ประกอบการทุกระดับอย่างยั่งยืนควบคู่ไปด้วยกัน
ทีมเศรษฐกิจ ควรมีสมรรถนะ ขีดความสามารถ การบริหารความเสี่ยง กลยุทธ์ในการสร้างรายได้ให้กับประเทศและบริหารงบประมาณที่มีอย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับเศรษฐกิจฐานราก สร้างการมีส่วนร่วม แสวงหาความร่วมมือกับทุกภาคส่วน และคำนึงถึงผลกระทบอย่างรอบด้านในแต่ละมาตรการที่จะกระทบต่อระบบนิเวศน์เศรษฐกิจฐานราก มีธรรมาภิบาลในการบริหารนโยบาย มาตรการที่ขับเคลื่อนประเทศไปด้วยความซื่อสัตย์ โปร่งใส ตรวจสอบได้
สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ต้องการให้รัฐบาล “เศรษฐา 1” ออกมาตรการฟื้นเศรษฐกิจ โดยออกแบบมาตรการส่งเสริมการลงทุน SME ที่เป็นประโยชน์และเข้าถึงได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ลดต้นทุนไฟฟ้า การเพิ่มประสิทธิภาพเทคโนโลยีดิจิทัล เครื่องจักรสมัยใหม่ กลุ่มธุรกิจภาคอุตสาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ เป็นต้น และสนับสนุน Solar cell ที่ผลิตในประเทศไทย โดยภาครัฐจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอต่อความต้องการ ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าฟอสซิลโดยรวมของประเทศ และหากส่งเสริมในภาคประชาชนเพิ่มเติมขึ้นจะทำให้การใช้พลังงานสีเขียวขยายตัวอย่างรวดเร็ว
การสร้างความตระหนักรู้ เข้าใจใช้ประโยชน์ เข้าถึง Carbon credit Market ภาคประชาชน และเอสเอ็มอีที่ต้องเร่งปรับตัว ปรับธุรกิจให้ทันกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกที่มาอย่างรวดเร็ว โดยไม่ทำให้โอกาสกลายเป็นอุปสรรค หรือ มาตรการกีดกันทางการค้าไป
ในด้านการเพิ่มค่าแรงงานขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน ภายในปี 2570 และเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท ต้องมีการออกแบบกำหนดเป้าหมาย วัตถุประสงค์ กระบวนการ ผลลัพธ์ ผู้มีส่วนร่วมเกี่ยวทุกภาคส่วนรับฟังอย่างรอบด้านและสร้างกลไก ไม่ก่อให้เกิดผลกับภาคเศรษฐกิจฐานราก เตรียมความพร้อมรองรับด้านผลิตภาพแรงงาน ขีดความสามารถผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เกษตรกร วิสาหกิจชุมชนที่จะเผชิญหน้ากับอุปสรรค ปัญหาที่จะเกิดขึ้น ทั้งด้านการค้า การลงทุน การส่งออก การท่องเที่ยว และขีดความสามารถในการแข่งขันกับนานาประเทศ เป็นต้น
สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ต้องการให้รัฐบาล หาแหล่งทุน การพัฒนาเอสเอ็มอี โดยการจัดชั้น NPLs ทั่วไปและรหัส 21 ควรกำหนดวงเงินหนี้ จัดประเภทขนาดธุรกิจ เพื่อให้เหมาะสมกับการบริหารจัดการในคำปรึกษาแนะนำช่วยเหลือ อาทิ NPLs วงเงินรวมไม่เกินวงเงิน 100,000 เป็นรายย่อย และต้องมีกระบวนการในการให้ความช่วยเหลือ ให้โอกาสฟื้นฟูต่างจาก NPLs 1-10 ล้านบาท หรือ มากกว่านั้น เป็นต้น เพื่อไม่ให้ผู้ที่เป็น NPLs และต้องการฟื้นฟูถูกติดเครดิตบูโรระยะเวลาเท่ากัน และหรือ มาตรการในการจัดชั้น การให้คำปรึกษาหาทางออกอย่างเป็นระบบ ติดตาม ประเมินผล และพัฒนาต่อเนื่อง ส่งไม้ต่อไปยังหน่วยงานกลไกบ่มเพาะ สิทธิประโยชน์ต่างๆที่เกี่ยวข้องต่อไป
ส่งเสริมการตั้ง กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเอสเอ็มอีไทย แก้ไขปัญหาเอสเอ็มอี NPLs รหัส 21 โดยแบ่งกลุ่มรายย่อย รายย่อม รายกลาง ให้มีความชัดเจนในการพิจารณา ประเมิน และช่วยการถอดบทเรียน ออกแบบแผนธุรกิจ Restart ที่เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันและอนาคต ทั้งด้านความเป็นผู้ประกอบการ การตลาด บัญชีการเงิน การผลิต มาตรฐาน นวัตกรรม ความสร้างสรรค์ ดิจิทัลเทคโนโลยี แก้ไขปัญหาดอกเบี้ยที่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยเฉพาะรายย่อย และแรงงานประชาชนทั่วไป ที่มีช่องว่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก กับ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้เกิดความโปร่งใสกับผู้เป็นลูกค้าของสถาบันการเงินต่างๆ รวมทั้ง Non Bank ด้วย.-สำนักข่าวไทย