กรุงเทพฯ 16 ส.ค. – ประธาน ส.อ.ท.พร้อมทำงานร่วมกับรัฐบาลใหม่ ชี้ต้องเร่งแก้ปัญหาปากท้องประชาชน -เอสเอ็มอี อุดช่องโหว่ สินค้าต่างประเทศราคาถูกทะลักเข้าไทย ขณะที่ดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงการประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดพิเศษวันนี้ เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 หลังวานนี้พรรคร่วมรัฐบาลมีมติเสนอชื่อนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรค เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี มองไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ เพราะนางสาวแพทองธาร มีชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี มาตั้งแต่ต้นแล้ว มองว่าผู้นำรัฐบาลน่าจะยังเป็นพรรคเดิม แต่ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนขอให้จับมือทำงานร่วมกันกับภาคเอกชน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยเร็ว
ส่วนประเด็นความเชื่อมั่นจากต่างชาตินั้น ปกติการฟอร์มทีม ครม. ใช้เวลา 2-3 เดือน แต่ครั้งนี้อยากให้ใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือน ซึ่งดูจากการที่พรรคร่วมรัฐบาลยังจับมือกันแน่น ก็น่าจะเกิดขึ้นได้ เชื่อว่าหากมีการจัดทำนโยบายที่มีความต่อเนื่องก็จะสามารถดึงความเชื่อมั่นกลับมาได้ พร้อมฝากถึงรัฐบาลใหม่ว่าตอนนี้ปัญหาใหญ่ คือเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องประชาชน และช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอยู่รอด ที่ต้องปิดตัว จากสภาพเศรษฐกิจ และ การทะลักเข้ามาของสินค้าราคาถูกและสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานจากต่างประเทศ จึงเสนอให้ภาครัฐออกมาตรการกำหนดดูแลผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจากต่างประเทศด้วย
ส่วนโครงการ Digital Wallet จะเกิดขึ้นได้หรือไม่นั้นไม่สามารถตอบได้ ขึ้นอยู่กับรัฐบาล แต่หากยังมีต่อ ก็มีข้อเสนอให้ภาครัฐกำหนดเงื่อนไขการซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศ หรือสินค้า Made in Thailand ในโครงการ Digital Wallet เพื่อสร้างโอกาสและทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในธุรกิจของผู้ประกอบการไทย
ขณะที่ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 89.3 ปรับตัวเพิ่มขึ้น จาก 87.2 ในเดือน มิถุนายน 2567 โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน ตามการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ในประเทศในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารและยา เครื่องสำอาง ขณะที่การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐทำให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้นและส่งผลดีต่อสินค้าอุตสาหกรรมโดยเฉพาะวัสดุก่อสร้าง ขณะเดียวกันการขอรับการส่งเสริมการลงทุนขยายตัวต่อเนื่อง ในช่วง 6 เดือนแรก (มกราคม – มิถุนายน 2567) มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 458,359 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 35 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติและมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศช่วงโลว์ซีซั่นของภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม ในเดือนกรกฎาคม ยังมีปัจจัยลบจากปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้เสีย (NPL) ที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งยังกดดันการบริโภคในประเทศ เห็นได้จากยอดขายรถยนด์ในประเทศและยอดส่งออกรถยนต์ในช่วง 6 เดือนแรก (มกราคม – มิถุนายน 2567) ที่หดตัวร้อยละ 24.16 และ 1.85 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลง เนื่องจากกำลังซื้อในประเทศยังอ่อนแอ ขณะเดียวกันในด้านการส่งออกชะลอตัวลงโดยเฉพาะสินค้าคงทนประเภทเครื่องปรับอากาศและทำความเย็น อัญมณีและเครื่องประดับ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ขณะที่ต้นทุนค่าขนส่งเพิ่มสูงขึ้น ทั้งค่าระวางเรือและค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มต่างๆ (Surcharge)
จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,323 ราย ครอบคลุม 46 กลุ่มอุตสาหกรรมของ ส.อ.ท. ในเดือนกรกฎาคม 2567 (สำรวจก่อนวันที่ 14 สิงหาคม 2567) พบว่าปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่เศรษฐกิจโลก ร้อยละ 66.8 สถานการณ์การเมืองในประเทศ ร้อยละ 58.7 อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก)โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ร้อยละ 37.9 ตามลำดับ ปัจจัยที่มีความกังวลลดลง ได้แก่ เศรษฐกิจในประเทศ ร้อยละ 61.2 ราคาน้ำมัน ร้อยละ 60.6 อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ร้อยละ 57.1 ตามลำดับ
ขณะที่ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 95.2 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 93.4 ในเดือนมิถุนายน 2567 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเร่งการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 การขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตลอดจนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐในโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet แต่อย่างไรก็ตามมีปัจจัยที่ผู้ประกอบการยังห่วงกังวล ได้แก่ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกยังเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวของภาคการส่งออก ขณะที่ต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มสูงขึ้นโดยเฉพาะนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทต่อวัน.-516-สำนักข่าวไทย