กรุงเทพฯ 20 มิ.ย. – ซิตี้แบงก์คาดเศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพขยายตัวร้อยละ 3.4 ให้น้ำหนักลงทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ ด้านกสิกรไทยเชื่อสินเชื่อครึ่งปีหลังโตเพิ่ม
นายเอเดรียน ไวสส์ หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาการบริหารความมั่งคั่ง ธนาคารซิตี้แบงก์ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2560 จะขยายตัวร้อยละ 3.4 และเพิ่มเป็นร้อยละ 3.6 ในปี 2561 โดยภาพรวมเศรษฐกิจยังคงมีการเติบโตที่มีเสถียรภาพ ไม่มีปัจจัยลบที่รุนแรง ขณะที่เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3 ในปี 2560 และ 3.3 ในปี 2561 เนื่องจากกำไรจากผลประกอบการภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น การฟื้นตัวกิจกรรมทางอุตสาหกรรม การลงทุน และอัตราดอกเบี้ยยังต่ำ ธนาคารกลางส่วนใหญ่ยังคงดอกเบี้ยปีนี้ ยกเว้นธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) น่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางการเมืองและทางภูมิรัฐศาสตร์ ความไม่ชัดเจนของนโยบายปฏิรูปภาษีของสหรัฐ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน
นายเอเดรียน ไวสส์ กล่าวว่า ให้น้ำหนักต่อการลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ รวมทั้งเอเชีย ลาตินอเมริกา ยุโรปตะวันออก เนื่องจากจะได้รับผลบวกจากเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัว คาดว่าอยู่ที่ 60-65 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลดีต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดเกิดใหม่ให้ขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 รวมทั้งที่ผ่านมาราคาหุ้นในตลาดเกิดใหม่ยังถูกกว่าตลาดหุ้นหลัก โดยอัตราราคาต่อกำไรสุทธิ หรือพีอี เรโชอยู่ที่ 13 เท่า ขณะที่ตลาดหุ้นหลัก เช่น อเมริกา อยู่ที่ 19 เท่า โดยกลุ่มที่น่าสนใจ คือ กลุ่มการเงิน เทคโนโลยี และพลังงาน ส่วนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐคาดว่ายังคงผันผวน โดยอัตราการแข็งค่าจะน้อยลง เนื่องจากปัญหาการเมืองในสหรัฐและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ยังกดดัน
ด้านนายพิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สินเชื่อรวมครึ่งปีหลังจะเติบโตสูงกว่าครึ่งปีแรก เพราะการเดินหน้าโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาล ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนความต้องการสินเชื่อมากขึ้น โดยช่วงแรกเป็นการเติบโตจากสินเชื่อรายใหญ่และจะเริ่มกระจายไปยังผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กต่อไป โดยธนาคารยังคงเป้าสินเชื่อปีนี้ขยายตัวร้อยละ 4-6
ส่วนสถานการณ์การผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทเอกชนนั้น เห็นว่าเป็นเรื่องปกติของอุตสาหกรรม เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวต่ำและโครงการของภาครัฐเลื่อนออกไปในครึ่งปีแรกอาจส่งผลให้ความสามารถการชำระหนี้ของลูกค้าบางกลุ่มลดลง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีขนาดกลางและ ขนาดเล็ก ดังนั้น การให้สินเชื่อต้องพิจารณาเป็นราย ๆ ไป พร้อมทั้งติดตามดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิดเวลาที่เกิดปัญหา โดยธนาคารยังคงรักษาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอล ไม่เกินร้อยละ 3.3-3.4 จากร้อยละ 3.31 ในไตรมาส 1 ปี 2560.- สำนักข่าวไทย