กรุงเทพฯ 16 มิ.ย. – ออกแล้ว !!! ม.44 ลดอุปสรรคโครงการก่อสร้างรถไฟไทย-จีน ขณะที่กระทรวงคมนาคมยืนยันมีความร่วมมือถ่ายทอดเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงให้ไทย โดยจีนเห็นชอบหลักการและจะนำหารือคณะกรรมการร่วมโครงการรถไฟไทย-จีนครั้งต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษามีการออกประกาศ ม.44 เรื่อง มาตรการเร่งรัดและเพิ่มประสิทธิภาพการดําเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ – นครราชสีมา เมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา โดยมีสาระสำคัญลดอุปสรรคระเบียบการจัดซื้อจัดสร้างในโครงการดังกล่าว ลงนามโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
สำหรับสาระสำคัญประกาศดังกล่าว ประกอบด้วย การยกเว้นระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างในกฎหมาย 7 ฉบับคือ 1.กฎหมายว่าด้วยว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับ การจัดหาผู้ประกอบการและการเสนอราคา 2. กฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ 3.คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 11/2560 เรื่อง การกํากับการจัดซื้อ จัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2560 4.ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่ม 5.ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 ระเบียบการรถไฟแห่งประเทศไทยว่าด้วยการจ้าง พ.ศ. 2544 และ 7.ระเบียบการรถไฟแห่งประเทศไทยว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2544
นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า โครงการรถไฟไทย-จีนลดอุปสรรคการจัดซื้อจัดจ้างตามกฎหมายทั้ง 7 ฉบับจะดำเนินการในส่วนของโครงการที่จีนว่าเป็นผู้รับผิดชอบในโครงการ 3 ประเด็น คือ 1.การออกแบบรายละเอียด 2.การคุมงานก่อสร้าง และ 3.การดำเนินการติดตั้งระบบเดินรถและอาณัติสัญญาณ โดยไทยยังเป็นผู้รับผิดชอบงานก่อสร้างเป็นหลักและมีมูลค่าราคามากกว่า คือ งานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานระบบราง
นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมยืนยันว่าความร่วมมือในโครงการดังกล่าวฝ่ายไทยจะรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากจีน ซึ่งนอกจากการถ่ายทอดเทคโนโลยีผ่านเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ 60 คนแล้ว กระทรวงคมนาคมจะประสานงานเพื่อนำนักวิชาการระดับสูงหรือระดับคณะอาจารย์ ทั้งจากสภาวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ สภาสถาปนิกไทย ศึกษารับการถ่ายทอดเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงจากจีนด้วย ซึ่งจีน ตกลงหลักการแล้วและจะมีการนำเข้าหารือรายละเอียดในการประชุมคณะกรรมการรถไฟไทย-จีนครั้งต่อไป.-สำนักข่าวไทย