พรรคก้าวไกล 19 มิ.ย.- “น.ต.ศิธา” แนะกรณี “หยก” ถอยคนละก้าว เปิดใจกว้างรับฟัง เปรียบเยาวชนเหมือนม้าแรงเยอะ หากทำให้วิ่งถูกเส้นทางก็จะชนะ ย้ำทำตามสิทธิเสรีภาพได้ แต่ต้องไม่กระทบคนอื่น
น.ต.ศิธา ทิวารี แกนนำพรรคไทยสร้างไทย ในฐานะคณะทำงานด้านปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล กล่าวถึงปัญหาการเรียนต่อของ “หยก” เยาวชนอายุ 15 ปี ว่า เด็กทุกคนไม่ควรออกจากระบบการศึกษา หากแสดงออกอะไรที่รุนแรงเกินไปก็ควรต้องคิด เพราะเยาวชนก็คือเยาวชน หากเปิดใจกว้างและรับฟังความคิดของเขา ได้รับการพูดคุยกัน ก็จะหาทางออกได้
“ผมเปรียบกับม้า เราอาจจะชอบขี่ม้าที่นิ่ง ๆ เป็นม้าแก่ แต่ไปแข่งจะชนะหรือ แต่หากเอาม้าที่มีกำลังวังชา มาวิ่งในเส้นทางที่ถูกที่ควร เชื่อว่าจะเป็นม้าที่ชนะ และทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้ ดังนั้น เยาวชนควรเป็นบุคคลที่ผู้ใหญ่เข้ามาพูดคุย ซึ่งกลไกต่าง ๆ ที่จะวินิจฉัยว่าหลุดพ้นการศึกษา หรือได้รับการศึกษาต่อ ควรได้รับการวินิจฉัยอย่างตรงไปตรงมา” น.ต.ศิธา กล่าว
น.ต.ศิธา กล่าวว่า โรงเรียนได้ชี้แจงแล้วว่า การทำผิดระเบียบไม่ได้เป็นเกณฑ์ที่ทำให้พ้นจากสภาพการเป็นนักเรียน โดยอาจจะต้องพูดคุยและตักเตือนกัน ซึ่งการพ้นสภาพการเป็นนักเรียน เกิดจากการไม่ได้มอบตัวตามขั้นตอนและเวลา ซึ่งในมุมผู้ปกครองก็คิดว่าทางโรงเรียนรับปากว่าเข้าเรียนได้ แต่มีเรื่องเวลาที่ล่าช้า ทำให้โรงเรียนหยิบยกมาอ้างได้ ฉะนั้นเรื่องนี้ควรต้องพบกันครึ่งทาง และต้องทำให้เกิดความชัดเจนว่า หากน้องต้องหลุดจากโรงเรียนนี้จะมีอะไรรองรับ ซึ่งการไม่มีสถานศึกษา แล้วเด็กเติบโตมาเรื่อย ๆ และไม่สามารถเข้าถึงระบบการศึกษาได้
น.ต.ศิธา กล่าวว่า เรื่องนี้ผู้ใหญ่ต้องคุยกัน ซึ่งบางคนอาจจะมองว่าแค่เด็กคนเดียว แต่ความจริงเป็นเรื่องเด็กทั้งระบบการศึกษาที่ไม่ควรมาเจอเรื่องเช่นนี้ ในส่วนที่ผิดก็ว่าไปตามผิด อาจจะมีการคาดโทษหรือตักเตือน ก็ให้อยู่ไปตามกฎ ไม่ควรเอาอะไรเรื่องมาปะปนกัน ส่วนที่สังคมมองกลับไปที่นัองหยกว่าไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบของโรงเรียนนั้น เด็กจะสู้ในเรื่องของสิทธิเสรีภาพ และคนจะเข้าใจว่าเผด็จการอยู่ตรงข้ามประชาธิปไตย และสิทธิเสรีภาพก็คือประชาธิปไตย แต่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น
“ผิดหรือถูกขอให้ว่ากันไปตามหลักวิชาการ ผมมองว่า เผด็จการอาจจะอยู่ตรงกันข้ามสิทธิเสรีภาพมากกว่า แต่ประชาธิปไตยคือกฎเกณฑ์ที่จะทำอย่างไรให้สิทธิเสรีภาพอยู่ร่วมกันได้ โดยที่ไม่ไปรบกวนสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น อย่างไรก็ตาม อาจมองว่าสิทธิเสรีภาพที่มากเกินไปอาจไปรบกวนสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นได้ และจะทำให้สังคมไม่มีระเบียบแบบแผน โลกเขายอมรับอยู่แล้วว่า ระบอบประชาธิปไตยเป็นกลไกหรือข้อกฎหมาย และข้อบังคับที่อยู่ระหว่างเผด็จการกับสิทธิเสรีภาพ เป็นกลไกที่ทำให้คนหมู่มากอยู่รวมกันได้อย่างไร ซึ่งมีตั้งแต่ระดับสังคมที่เล็กที่สุดอย่างครอบครัว ผู้ใหญ่ต้องฟังเด็ก เด็กต้องฟังผู้ใหญ่ เอาจุดแข็งของแต่ละคนมารวมกัน ถ้าเรามุ่งสิทธิเสรีภาพมากเกินไป จะไปรบกวนสิทธิของผู้อื่น แล้วทำให้สังคมไม่สามารถอยู่รวมกันได้ ก็ควรที่จะหาจุดที่พอดี” น.ต.ศิธา กล่าว
ส่วนที่หยกยืนยันว่าจะย้อมสีผม เพื่อแสดงให้สังคมเห็นว่ายังมีระบบอำนาจนิยม น.ต.ศิธา กล่าวว่า เป็นสิ่งที่น้องต้องการสื่อสาร ซึ่งมีหลายคนที่แสดงออกเชิงสัญลักษณ์มากมาย แม้กระทั่งคนที่โดนกดดัน โดนนายทุนกลั่นแกล้ง ก็เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ให้เห็นว่าถูกกดดัน ซึ่งถือเป็นสิทธิที่แสดงออกได้ ผู้ใหญ่ก็ต้องรับฟัง และให้รู้ว่าการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ก็คือการแสดง และสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็ต้องแก้ไขให้ถูกต้อง หากไม่ถอยคนละก้าวแล้วไม่หันหน้ามาคุยกัน สังคมไทยก็จะเป็นแบบนี้.-สำนักข่าวไทย