กรุงเทพฯ 10 มิ.ย. – รมว.พาณิชย์ เชื่อว่าตลาดจีนยังสามารถขยายช่องทางการค้าและการลงทุนร่วมกันได้ในทุกมิติ เห็นจากจีดีพีหลายประเทศไม่ขยายตัว แต่จีนยังขยายตัวได้ดี ปีนี้จีดีพีอยู่ที่ 5.2% แถมสกุลเงินหยวนเป็นที่ยอมรับใช้เป็นเงินสำรองของประเทศต่างๆ ในโลกได้ ขอให้ภาคเอกชนไทยวางแผนขยายส่งออกตลาดจีนให้มากขึ้น
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดหลักสูตรสายสัมพันธ์ไทย-จีน เพื่อผู้บริหารระดับสูง รุ่นที่ 2 และบรรยายพิเศษหัวข้อ ” เศรษฐกิจการค้าระหว่างไทย-จีน” โดยมีนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นายฐิตินันท์ วัธนเวคิน ผู้อำนวยการหลักสูตรสายสัมพันธ์ไทย-จีน ที่ห้องแกรนด์ฮอล์ ชั้น 28 บางกอกคลับ อาคารสาทรซิตี้ กรุงเทพฯ โดยจีนมีความสำคัญมากขึ้นในสังคมโลกใน 3 ด้านคือ 1.ภาษา 2.เศรษฐกิจ 3.ภูมิรัฐศาสตร์ของโลก
ในด้านเศรษฐกิจ ปัจจุบันจีนเป็น 1 ใน 2 อภิมหาอำนาจของโลกคู่กับสหรัฐอเมริกา เศรษฐกิจจีนเป็นอันดับ 2 ของโลก มีจีดีพีรองจากสหรัฐ เป็นตลาดอันใหญ่อันดับ 1-2 ของโลก มีประชากรถึง 1,400 ล้านคน และจีนนำเข้าเป็นอันดับ 2 ของโลก การส่งออกหลายประเทศในโลกต้องพึ่งพาตลาดจีน
ขณะที่หลายประเทศในโลกเศรษฐกิจถดถอย แต่จีนปีที่แล้วจีดีพีโต 3% ปีนี้คาดการณ์ว่าจะโต 5.2% และสกุลเงินหยวนของจีนเป็นสกุลเงินที่เป็นที่ยอมรับใช้เป็นเงินสำรองของประเทศต่างๆ ในโลก ล่าสุดปีนี้ IMF ให้ใช้เงินหยวนเป็นเงินทุนสำรองในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น เดิมไม่เกิน 10.92% เป็น 12.28% ด้านความมั่นคง การเมืองโลก ภูมิรัฐศาสตร์ จีนผงาดเป็นหนึ่งในมหาอำนาจของโลกคู่กับสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ จีนเร่งสร้างพันธมิตรทางการเมือง เศรษฐกิจ ความมั่นคง และวัฒนธรรม ด้านภูมิรัฐศาสตร์ฝั่งสหรัฐ มีอียู สหภาพยุโรป 27 ประเทศ กลุ่มนาโต 26 ประเทศ กลุ่มจี 7 และปี 2019 มีกลุ่ม THE QUAD กลุ่มแนฟตา ต่อมาเป็น USMCA และปี 2022 คือ กลุ่มอินโด-แปซิฟิก และฝั่งจีน มีการรวมกลุ่ม เช่น กลุ่ม SCO (Shanghai Cooperation Organization) 7 ประเทศ และกลุ่มตะวันออกกลาง และกลุ่ม BRICS รวมกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา (จีน อินเดีย แอฟริกาใต้ บราซิล และรัสเซีย) ไม่กี่วันมานี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เสนอในกลุ่ม BRICS ว่าอยากขยายจำนวนสมาชิก
นอกจากนี้มี RCEP ที่เป็น FTA ที่ใหญ่ที่สุดในโลก สมาชิก 15 ประเทศ 1 ใน 3 ของจีดีพีโลก ประชากร 1 ใน 3 ของโลก ทั้งสองขั้วทวีความสำคัญขึ้น ล่าสุดการประชุมที่โป๋อ่าว จีนเสนอโครงการความมั่นคงโลกให้ทุกประเทศร่วมแสวงหาความมั่นคงรูปแบบใหม่ เน้นการเจรจามากกว่าการเผชิญหน้า ร่วมกันสกัดกั้นอาวุธทำลายล้างสูง
นอกจากนี้ไทยกับจีนมีสัมพันธ์หลายมิติ ทั้งการทูต การเมือง เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว เป็นต้น สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต 48 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 2518 ในระดับพรรคการเมืองก็มีการแลกเปลี่ยนการเยือนหลายครั้ง ด้านเศรษฐกิจ การค้า จีนเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 1 ของไทย 11 ปีต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2556 เป็นตลาดส่งออกอันดับ 2 ของไทย รองจากสหรัฐ และช่วงที่ผ่านมาในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตนได้คิดค้นนวัตกรรมทางการค้าอันใหม่เกิดขึ้น คือ การทำ mini-FTA เพราะ FTA ปกติใช้เวลานาน ตนจึงคิดข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย วันนี้มี mini-FTA 7 ฉบับแล้ว โดย 3 ใน 7 ฉบับ เป็นการทำกับจีน เรามีกับไห่หนาน เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ใหญ่ที่สุดของจีน และกับมณฑลกานซู เพราะมีมุสลิมเยอะ จะเป็นตลาดสินค้าฮาลาลของไทย ล่าสุดเดือน มี.ค. 2566 เราทำ mini-FTA กับกับเซินเจิ้น โดยตั้งเป้า 2 ปีแรกจะทำมูลค่าค้าขายระหว่างกัน 10,000 ล้านบาท และเร็วๆ นี้จะทำเพิ่มกับมณฑลยูนนานจะเป็นอีกตลาดที่สำคัญต่อไป
ขณะที่การลงทุนปี 2565 จีนมาขอ BOI กับไทย ถึง 7.7 หมื่นล้านบาท มากที่สุดในโลก เพิ่มจากปี 64 ถึง 108% ด้านการท่องเที่ยว ปี 65 นักท่องเที่ยวจีนมาไทย 270,000 คน ปีนี้คาดว่ามีจำนวนถึง 4.25 ล้านคน โดยไทยเป็น 1 ใน 10 ประเทศของโลกที่จีนอนุญาตให้จัดกรุ๊ปทัวร์ไปเที่ยวได้ ดังนั้น จึงเห็นว่าตลาดจีนยังเป็นตลาดสำคัญของไทย ทุกฝ่ายจะต้องเตรียมตัวเพื่อเพิ่มช่องทางการค้าการลงทุนในทุกมิติของทั้ง 2 ฝ่าย โดยเอกชนจะต้องเร่งขยายความร่วมมือให้เป็นรูปธรรมกันต่อไป.-สำนักข่าวไทย