ศาลอาญา 27 มี.ค.- “ชูวิทย์” ระบุเปิดหลักฐานใบเสนอราคาแถลงข่าวออกสื่อ 300,000 บาท หวั่นสื่อตกเป็นเครื่องมือหาประโยชน์ พร้อมเตรียมดำเนินคดี “ทนายตั้ม” ฐานหมิ่นประมาท ครั้งละ 100 ล้านบาท หากพาดพิงอีก จ่อร้องเรียนสภาทนายความให้ตรวจมารยาทการทำหน้าที่ทนาย
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง พร้อมทนายความ เดินทางมาที่ศาลอาญา โดยเปิดเผยถึงกรณีที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม กล่าวหาว่าตัวเองเรียกรับ 10 ล้านบาท ที่ถูกบรรจุอยู่ในถุงเงิน นายชูวิทย์ แต่งตั้งนายอนันต์ชัย เป็นทนายความส่วนตัว ให้ดูแลฟ้องร้องคดีนี้ เนื่องจากเข้าข่ายหมิ่นประมาท หากนายษิทรา ออกมาพาดพิงโดยไม่มีหลักฐาน จะเตรียมฟ้องร้องฐานหมิ่นประมาท ครั้งละ 100 ล้านบาท
ส่วนประเด็นการนำเอกสารใบเสนอราคาเรื่องค่าแถลงข่าวออกสื่อจำนวน 300,000 บาท ออกมาเปิดเผย มองว่าเป็นการใช้สื่อเป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์ตัวเองหรือไม่ ขัดกับชื่อที่อ้างว่าเป็นทนายประชาชน เชื่อว่ามีขบวนการจ้องทำลายชื่อเสียงตัวเอง ทั้งทนายความ นักร้องเรียน และสื่อมวลชนอาวุโส ยืนยันที่จะฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งหมด ส่วนเงินบริจาคจำนวน 6 ล้านบาท ที่ทางโรงพยาบาลคืนมา อยากให้ติดตามว่าวันพรุ่งนี้จะทำอย่างไร
ด้านนายอนันต์ชัย ทนายความ ระบุจากกรณีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ออกมาแถลงข่าวและให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆ ในลักษณะที่กล่าวหาว่า คุณชูวิทย์ เรียกรับเงินจากเจ้าของเว็บพนันออนไลน์ สารวัตรซัว และมีการกล่าวหาลูกชายของนายชูวิทย์ รับเงินดิจิทัลนั้นพฤติกรรมดังกล่าวจะมีความผิดฐานหมื่นประมาทด้วยการโฆษณาหรือไม่ เรื่องนี้ตั้งข้อสังเกตว่า ภาพถุงเงินเจตนาที่ถ่ายภาพต้องการดิสเครดิตนายชูวิทย์หรือไม่ เนื่องจากไม่มีหลักฐานชัดว่า นายชูวิทย์รับเงิน มีเพียงถุงเงินที่ตั้งไว้ เชื่อว่าต้องการแบล็กเมล หรือจัดฉาก ก่อนนำเงินมามอบให้ ส่วนจำนวนเงินที่บอกว่า 10 ล้านบาทนั้น ก็ไม่มีใครรู้ว่าจำนวนเงินที่แท้จริงเท่าไร อาจจะถูกดึงไประหว่างทางก็ได้
นอกจากนี้ พฤติกรรมของทนายษิทรา ผิดมรรยาททนายความหรือไม่ กรณีแถลงข่าวไม่มีหลักฐาน แต่เป็นการยกข้อมูลขึ้นมาลอยๆ อีกทั้งไม่ใช่ผู้เสียหาย และไม่ใช่ประจักษ์พยาน เป็นเพียงพยานบอกเล่า แต่กลับนำมาเปิดเผยต่อสาธารณชน เข้าข่ายผิดมารยาททนายความ ตามข้อบังคับทนายความ ว่าด้วยมารยาททนายความ พ.ศ.2529 หมวด 3 ข้อ 9 เรื่องการตรวจสอบหลักฐานก่อนเปิดเผยข้อมูล ซึ่งนายชูวิทย์ เตรียมร้องสภาทนายความให้ตรวจสอบ
นอกจากนี้ กรณีโฆษกกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และผู้บริหาร ปปง. ที่ออกมา ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า การนำเงินของนายชูวิทย์ไปบริจาคอาจเข้าข่ายการฟอกเงิน ซึ่งตนมองว่า ไม่ควรให้สัมภาษณ์ในลักษณะชี้นำแบบนั้น ควรจะให้สัมภาษณ์ว่าอยู่ระหว่างการตรวจสอบหรือรวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะเข้าข่ายความผิด ม.157 และ ม.200
ทั้งนี้ สำหรับเรื่องเงินบริจาคให้โรงพยาบาล มองว่าไม่เข้าข่ายการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ฟอกเงิน เนื่องจากเป็นเงินประสงค์ให้ปิดปากในการเปิดโปงทุจริต ไม่ได้เป็นเงินให้ไปใช้ส่วนตัว ซึ่งเงินจำนวนนี้ นายชูวิทย์ ไม่ทราบที่มา ว่าเป็นเงินที่ได้จากการพนันหรือไม่
หลังจากนี้จะไม่ให้นายชูวิทย์ พูดถึงกรณีทนายษิทรากับสื่อมวลชนอีก เพื่อจะได้ไม่เสียรูปคดี และขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามขบวนการยุติธรรม ส่วนหากทนายษิทรา มีการพูดพาดพิง จะฟ้องกรรมละ 100 ล้านบาท พร้อมพูดว่า ใช้สติปัญญาทำในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าทำในสิ่งที่ถูกใจ.-สำนักข่าวไทย