กรุงเทพฯ 6 มี.ค. – โฆษกรัฐบาลเผย ตัวเลขการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวเดือน ม.ค.66 เงินลงทุนทั้งสิ้นกว่า 5,000 ล้านบาท ญี่ปุ่นลงทุนมากที่สุด มั่นใจเศรษฐกิจไทยมั่นคงพร้อมฟื้นฟู
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตัวเลขการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว เดือนมกราคม ปี 2566 ได้อนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 จำนวน 52 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 22 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 30 ราย เงินลงทุนทั้งสิ้น 5,129 ล้านบาท จ้างงานคนไทย 298 คน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีระบุว่า ธุรกิจที่ได้รับอนุญาตในเดือนมกราคม 2566 ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ นโยบายการส่งเสริมการลงทุนเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ส่วนการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติ เดือนมกราคม 2566 มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 8 ราย คิดเป็นร้อยละ 15 ของจำนวนนักลงทุนทั้งหมด โดยมีมูลค่าการลงทุน 683 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 13 ของเงินลงทุนทั้งหมด ซึ่งคาดว่าตลอดปี 2566 จะมีนักลงทุนต่างชาตินำเงินเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท
อนึ่ง ชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่
- ญี่ปุ่น 14 ราย (ร้อยละ 27) เงินลงทุน 3,588 ล้านบาท
- สิงคโปร์ 6 ราย (ร้อยละ 12) เงินลงทุน 410 ล้านบาท
- สหรัฐอเมริกา 6 ราย (ร้อยละ 12) เงินลงทุน 9 ล้านบาท
- สหราชอาณาจักร 5 ราย (ร้อยละ 10) เงินลงทุน 98 ล้านบาท และ
- จีน 3 ราย (ร้อยละ 6) เงินลงทุน 548 ล้านบาท
“นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า การทำงานของรัฐบาลมีปัจจัยสนับสนุนการลงทุนจากต่างชาติ ประเทศไทยมีศักยภาพต่างชาติสนใจที่จะร่วมค้าร่วมลงทุนด้วย ทั้งการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่ปรับเปลี่ยนอย่างเหมาะสมผ่านการประเมินตามสถานการณ์โลก โครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการลงทุน ศักยภาพในการแข่งขันเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค สภาพทางภูมิศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางภูมิภาค คมนาคมขนส่งสะดวก รวดเร็ว มีมาตรฐาน ชื่อเสียงที่ดี ซึ่งนายกรัฐมนตรีพร้อมที่จะสนับสนุนปัจจัยเหล่านี้เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน สมดุล ต่อไป” นายอนุชา กล่าว .-สำนักข่าวไทย