“พิธา” ทุ่มแถลงกลางน้ำ มั่นใจได้ ส.ส.ปทุมฯ ทุกเขต

ปทุมธานี 24 ก.พ.-“พิธา” ทุ่มสุดตัว ตั้งโพเดียมแถลงนโยบายสิ่งแวดล้อม กลางน้ำ แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ให้คนตระหนักถึงปัญหาโลกร้อนเป็นเรื่องใกล้ตัว เหน็บ “บิ๊กตู่” แก้ปัญหา “พังแล้ว-พังอีก-พังต่อ” พร้อมมั่นใจได้ ส.ส.ปทุมธานี ยกจังหวัด


นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงเปิดนโยบาย “สิ่งแวดล้อมไทยก้าวหน้า” ซึ่งเป็นชุดนโยบายที่ 7 จากทั้งหมด 9 ชุดนโยบาย โดยไฮไลท์ของการแถลงเปิดนโยบายครั้งนี้มีจุดเด่น คือ การตั้งโพเดียมกลางน้ำ เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ และได้รับแรงบันดาลใจจากการกล่าวถ้อยแถลงของรัฐมนตรีการต่างประเทศของประเทศตูวาลู ในช่วงการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP 26) โดยนายพิธา กล่าวว่า เป็นการแสดงให้เห็นว่าปัญหาโลกร้อนเป็นเรื่องใกล้ตัวของทุกคนมากกว่าที่คิด และส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประชาชน เช่น ปัญหาน้ำท่วมที่รุนแรงและถี่ขึ้น

นายพิธา กล่าวว่า สำหรับพื้นที่ชุมชนปากคลองรังสิต จังหวัดปทุมธานี แห่งนี้ คนในชุมชนบอกว่า ในอดีตน้ำท่วม 2-3 เดือนต่อปี แต่ปัจจุบันน้ำท่วม 5-6 เดือนต่อปี พร้อมยกข้อมูลเมื่อ พ.ศ. 2549 ว่า มีพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก 10 ล้านไร่ ตอนนี้เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า เป็น 27 ล้านไร่ ซึ่งสอดคล้องกับรายงานของธนาคารโลกที่ระบุว่า ปี 2011-2045 (พ.ศ. 2554-2588) โลกร้อนจะสร้างความเสียหายต่อภาคเกษตรไทยราว 3 ล้านล้านบาท ผลิตพืชต่างๆ ได้น้อยลง เช่น ข้าวน้อยลง 13% มันลดลง 21% อ้อยลดลง 35%


หัวหน้าพรรคก้าวไกล ยังกล่าวว่า สำหรับปัญหาโลกร้อนเป็นภัยความมั่นคงของยุคปัจจุบัน นี่คือศัตรูตัวจริงของรัฐบาล ไม่ใช่ความมั่นคงทางทหารแบบเดิมอีกต่อไป ดังนั้น พรรคก้าวไกลต้องการประกาศศึกกับภาวะโลกร้อน โดยมีนโยบายที่ชัดเจน ทั้งในเชิง ‘รับ’ เพื่อรับมือผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้ว และมีแนวโน้มจะรุนแรงมากขึ้นจากสภาพอากาศที่แปรปรวน และในเชิง ‘รุก’ ที่รุกไปที่ต้นตอของปัญหา เพื่อลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้จริง ควบคู่กับสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับการรักษาสิ่งแวดล้อม

นายพิธา กล่าวถึง นโยบาย “สิ่งแวดล้อมไทยก้าวหน้า” ของพรรคก้าวไกล ว่า ต้องมีนโยบายเชิงรุกและนโยบายเชิงรับ โดยนโยบายเชิงรุกต้องเร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภายในปี 2050 (พ.ศ. 2593) 

ส่วนนโยบายด้านการเกษตร ต้องป้องกันการเผาเปลี่ยนก๊าซเรือนกระจกเป็นรายได้ กำจัดการเผาภายใน 3 ปี มีงบปรับตัวตำบลละ 3 ล้านบาท 1,000 ตำบล ใช้วิธีเปลี่ยนการเผาเป็นเงินในกระเป๋าเกษตรกร เช่น งบอุดหนุนปลูกข้าว “เปียกสลับแห้ง” แทนการเผา สร้างอุตสาหกรรมแปรรูปฟางข้าว-ซังข้าวโพด แทนการเผา เช่นเดียวกับด้านอุตสาหกรรม ต้องจำกัดการปล่อยมลพิษอุตสาหกรรม


ขณะที่ด้านการขนส่ง มีแนวคิดเรื่องรถเมล์ไฟฟ้าทุกจังหวัด ภายใน 7 ปี มี “วันขนส่งฟรี” รณรงค์ลดใช้รถยนต์ส่วนตัว นอกจากนี้ยังมีนโยบายด้านขยะอาหาร = Zero Food Waste กำจัดขยะอาหารเหลือทิ้ง, ด้านพื้นที่สีเขียว ป่าแลกเงิน

นายพิธา ยังกล่าวถึงนโยบายเชิงรับว่า ต้องมีการตั้งกองทุนปรับตัวรับมือภัยพิบัติ-น้ำท่วม เตือนภัยทั่วถึง ครอบคลุมทุกท้องถิ่น ให้ท้องถิ่นประกาศเขตพื้นที่ภัยพิบัติได้ มีศูนย์พักพิง-ศูนย์อพยพมีมาตรฐาน ท้องถิ่นมีอำนาจและงบประมาณ พร้อมการชดเชยที่เป็นธรรมและและรวดเร็ว โดยใช้ระบบดาวเทียมและเทคโนโลยีเข้ามาช่วย

จากนั้น นายพิธา ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า เป็นการแถลงข่าวเชิงสัญลักษณ์ เพื่อต้องการให้คนที่ไม่ได้รับผลกระทบ เข้าใจถึงการแก้ไขปัญหา ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวประชาชน แต่เป็นเรื่องไกลตัวสำหรับคนที่ออกนโยบาย ซึ่งการแถลงข่าวครั้งนี้ต้องยกเครดิตให้กับรัฐมนตรีต่างประเทศตูวาลู ซึ่งนโยบายสิ่งแวดล้อมอาจจะเป็นเรื่องเข้าใจยาก จึงใช้วิธีการ สื่อสารเชิงสัญลักษณ์ เพื่อให้คนตระหนักและเข้าใจง่าย เพราะหากแถลงในห้องแอร์ เชื่อว่าคนหลับแน่นอน พร้อมย้ำนโยบายในการแก้ปัญหาทุกปัญหาจะต้องมีการกระจายอำนาจ ไม่ใช่กระจุกอำนาจ

เมื่อถามว่า นโยบายเหล่านี้จะแตกต่างจากรัฐบาลปัจจุบันได้อย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ประกาศว่า เรื่องเหล่านี้ทำแล้วทำอยู่และทำต่อ ทำให้นายพิธา สวนกลับทันทีว่า “พังแล้ว พังอยู่ และพังต่อ” เช่น เรื่องค่าไฟที่แพงแล้ว แพงอยู่ แพงต่อ ซึ่งประชาชนทราบข้อเท็จจริงเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะหากนายกรัฐมนตรียังติดอยู่กับความท้าทายทางทหาร ซึ่งเป็นเรื่องถนัดของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็คงไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ พร้อมทิ้งท้ายด้วยว่า เรือดำน้ำก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้

ส่วนความมั่นใจการเลือกตั้งในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี นายพิธา กล่าวว่า มั่นใจจะสามารถคว้า ส.ส. ยกจังหวัดได้ทั้ง 7 เขต และไม่กลัวกลุ่มบ้านใหญ่ เพราะก้าวไกลเป็นแชมป์เก่าเมื่อสมัยพรรคอนาคตใหม่ หรือหากพื้นที่ใดได้ที่ 2 คะแนนก็หายใจรดต้นคอที่ 1 จึงเชื่อว่าจะสามารถรักษาเขตเดิมเพิ่มเขตใหม่ได้     

ทั้งนี้ ระหว่างแถลงนโยบาย น้ำก็ขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อแถลงข่าวจบ นายพิธาจะเดินกลับขึ้นฝั่ง มีทีมเข้าไปช่วยพยุง แต่นายพิธาบอกไม่ต้องช่วยพยุง ถ้าจะล้มเดี๋ยวจบเอง เพราะเดี๋ยวคนจะเอาไปเปรียบเทียบกับคนที่ใส่แจ็กเก็ต issue แต่อย่างไรก็ตาม นายพิธาก็ขึ้นฝั่งด้วยความทุลักทุเล เนื่องจากว่าน้ำขึ้น และขาจมโคลน จนต้องขึ้นมาให้สัมภาษณ์ด้วยเท้าเปล่า และเมื่อให้สัมภาษณ์เสร็จแล้ว นายพิธาได้เดินทักทาย และสอบถามประชาชนถึงปัญหาในพื้นที่ด้วย.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง