รัฐสภา 16 ก.พ.- “พิจารณ์” ชี้ เรือหลวงสุโขทัยล่ม เพราะขาดความพร้อมใช้งาน เหน็บอย่ามองยุทโธปกรณ์เป็นขนมเค้ก ย้ำถึงเวลาต้องปฏิรูปกองทัพ
นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 กรณีเรือหลวงสุโขทัยอับปาง โดยตั้งคำถามว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นความบกพร่องโดยสุจริต หรือเป็นความจงใจบกพร่องจากการทุจริตทีละน้อย ที่ผ่านมาสังคมพูดถึงสาเหตุของเหตุการณ์นี้ 3 ข้อ ได้แก่ สาเหตุที่หนึ่ง คือความผิดพลาดของมนุษย์ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นความผิดพลาดของคนบนเรือ หรือของผู้ปฏิบัติงานบนชายฝั่ง เพราะในวันนั้น ภารกิจของเรือหลวงสุโขทัยคือเดินทางออกจากฐานทัพเรือสัตหีบไปร่วมพิธีเทิดพระเกียรติกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ที่บริเวณหาดทรายรี จ.ชุมพร แต่เมื่อไปถึง ด้วยคลื่นลมแรง ทำให้ไม่สามารถทอดสมอบริเวณนั้นได้ จึงจำเป็นต้องเข้าเทียบท่า ซึ่งเมื่อดูจากแผนที่ ท่าเรือที่ใกล้ที่สุดคือท่าเรือบางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ คำถามคือเหตุใดเรือหลวงสุโขทัยจึงไม่เข้าเทียบท่าที่ท่าเรือดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต้องชี้แจงว่าใครเป็นคนสั่งให้เรือหลวงสุโขทัยฝ่าคลื่นลมมุ่งหน้ากลับไปสัตหีบ จนนำมาสู่การล่มอับปาง
นายพิจารณ์ กล่าวว่า สาเหตุที่สอง คือ สภาพอากาศ กองทัพเรือพยายามชี้แจงว่าวันเกิดเหตุมีคลื่นลมรุนแรงมากกว่าปกติ เมื่อไปดูรายงานการพยากรณ์อากาศของกรมอุทกศาสตร์กองทัพเรือ มีความคลาดเคลื่อนจากการพยากรณ์อากาศของทั้งกรมอุตุนิยมวิทยา และของบริษัทเดินเรือเอกชนเป็นอย่างมาก แต่จากโครงสร้างเรือถูกแบ่งเป็นห้อง ๆ ทุกห้องจะมีประตูผนึกน้ำ ดังนั้น คลื่น 6 เมตร จึงไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เรือหลวงสุโขทัยล่ม เว้นแต่ว่าเรือไม่ได้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน เช่น ประตูผนึกน้ำใช้การไม่ได้ หรือซีลกันน้ำขอบประตูเสื่อมคุณภาพ เพราะอดีตข้าราชการทหารเรือหลายคนยืนยันว่า เรือหลวงสุโขทัยเป็นเรือระดับคอร์เวต ทนคลื่นสูงถึง 6 เมตรได้ หากเรืออยู่ในสภาพพร้อมรบ
นายพิจารณ์ กล่าวว่า ส่วนสาเหตุที่สาม คือความพร้อมในการใช้งานของตัวเรือ ในคณะกรรมาธิการการทหาร เชิญกองทัพเรือมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรือหลวงสุโขทัยรวม 4 ครั้ง ขอเอกสารไปหลายรายการ แต่ได้มาแค่ 2 รายการ จนถึงวันนี้เกือบ 2 เดือนหลังเหตุการณ์ กองทัพเรือยังอ้างว่าต้องใช้เวลารวบรวมเอกสาร อย่างไรก็ตาม เอกสารที่ตนมีวันนี้ คือเอกสารการซ่อมเรือหลวงสุโขทัย ด้วยงบประมาณกว่า 60 ล้านบาท ในช่วงพฤษภาคม 2561 – มกราคม 2564 ซึ่งน่าสงสัยว่าในเมื่อ ทร. มีเอกสารแบบนี้ ทำไมไม่ยอมส่งให้กรรมาธิการการทหาร ฯ
นายพิจารณ์ กล่าวว่า ตามรายงานนี้จะพบว่า เรือหลวงสุโขทัยแม้ซ่อมเสร็จแล้ว แต่ยังมีปัญหาหลายจุด ตั้งแต่จุดเล็ก ๆ ไปจนถึงจุดใหญ่ กล้าพูดเลยว่า นี่ไม่ใช่ความบกพร่องโดยสุจริต แต่เป็นความจงใจบกพร่อง เป็นการทุจริตในการซ่อมทำ แบ่งกันกินทีละส่วน คนละคำ จนไม่แน่ใจว่าตกลงนี่เรือรบหรือขนมเค้กกันแน่ ซึ่งปัญหาหลายจุดที่ว่านั้น เช่น สมอเรือ จากการทดสอบการใช้งานจริงหลังการซ่อม พบว่ามอเตอร์ฝั่งขวาขัดข้อง มีอาการหยุดการทำงานในบางจังหวะ มาตรวัดแรงดันต่าง ๆ ที่ใช้ในเรือก็ใช้การไม่ได้ เครื่องจักรหลายตัว สั่นสะเทือนผิดปกติ สาเหตุจากการติดตั้งที่ไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Power Generator) เสีย ใช้ได้ 3 เครื่องจาก 4 เครื่อง เป็นต้น
“ทำไมซ่อมแล้วยังมีปัญหา ผู้มีหน้าที่ซ่อม ซ่อมกันอย่างไร คนมีหน้าที่ตรวจรับ ไปตรวจรับให้ผ่านได้อย่างไร และเวลามาของบประมาณจากสภาฯ เรื่องซ่อมบำรุงต่าง ๆ บอกว่า ต้องดำรงสภาพความพร้อมในการรบ แบบนี้เรียกว่าพร้อมในการรบหรือไม่ หรือจงใจไม่ซ่อมให้สมบูรณ์ หรือจริง ๆ แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ก็รู้อยู่ว่าไม่ได้ต้องไปรบกับใคร เอาพาผู้หลักผู้ใหญ่ในกองทัพออกไปประกอบพิธีลอยอังคารก็พอ สรุปแล้วคือซ่อม โดยไม่ได้สนใจภารกิจป้องกันประเทศเลยใช่ไหม อีกปัญหาสำคัญ คือการซ่อมตัวเรือ แม้ตัวถังเรือจะทำมาจากเหล็ก แต่ถูกใช้งานไปนานๆ ก็จะถูกกร่อนจนบางไปเรื่อยๆ และต้องมีการซ่อมบำรุงด้วยการตัดเชื่อมเหล็กตัวเรือใหม่ให้มีความหนาตามมาตรฐาน แต่บางจุดกลับไม่ได้ซ่อม จนนำมาสู่การอับปางของเรือสุโขทัย” นายพิจารณ์กล่าว
นายพิจารณ์ กล่าวว่า เมื่อตรวจสอบลึกลงไปว่าใครเป็นคนซ่อม พบว่าเป็นการจ้างซ่อมโดยเอกชนรายหนึ่ง ที่ไม่แน่ใจว่ามีศักยภาพในการซ่อมหรือไม่ เนื่องจากมีทุนจดทะเบียนเพียง 1 ล้านบาท และมีพนักงานประจำเพียง 20 คน แต่รู้กันทั้งกองทัพเรือว่าทำไมเอกชนรายนี้ถึงได้งานซ่อมตัวเรืออยู่เสมอ เป็นเพราะมีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกับพลเรือโท ว. ชื่อเล่น ก. อดีตเจ้ากรมหรือไม่ อีกเรื่องคือการซ่อม Fin Stabilizer หรือครีบกันโคลง เป็นอุปกรณ์ที่ใช้รักษาสมดุลของเรือเวลาเจอคลื่นลมแรง ตนได้ถาม ทร.ว่า ตกลงแล้ว ในการซ่อมทำเรือสุโขทัย มีการถอดชิ้นส่วนนี้ออกไปหรือไม่ ทร. ตอบว่า ด้วยเรือมันเก่าแล้ว หาอะไหล่มาซ่อมไม่ได้ อีกทั้งการซ่อมทำครีบกันโคลงหากทำได้ไม่ดี กลับจะเป็นผลร้ายต่อสมดุลของเรือเสียมากกว่า จึงถอดทิ้งไปเลย เรืออาจจะโคลงมากขึ้นแต่ไม่เป็นไร พร้อมทั้งยืนยันว่า ครีบกันโครง จะมี หรือ ไม่มี ก็ไม่ได้มีผลทำให้เรือล่ม
นายพิจารณ์ กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 66 เรือหลวงสุโขทัยยังมีคิวรอซ่อมอีก 19 รายการ รวมมูลค่า 16.25 ล้านบาท งานซ่อมที่ใหญ่ที่สุด คือการซ่อมเกียร์ฝั่งซ้าย 7.5 ล้านบาท ตนนึกไม่ออกว่า ทำไมเรือที่ต้องรอซ่อมเกียร์ และรายการต่างๆ รวมทั้งสิ้น 19 รายการ ทำไมถึงอนุญาตให้ออกไปปฏิบัติภารกิจได้ ทำไมถึงไม่จอดเทียบท่า หรืออยู่ในอู่ นอกจากนี้ อัตรากำลังพลของเรือหลวงสุโขทัยก็ยังว่างและขาดบรรจุเป็นจำนวนมาก โดยตำแหน่งที่สำคัญที่สุดที่ว่างไปคือ ต้นกล หรือหัวหน้าวิศวกร ยืนยันว่า ในวันที่เกิดเหตุเรือสุโขทัยล่ม บนเรือไม่มีต้นกล ไปด้วย ต้นกลนี้มีทำหน้าที่ควบคุม ดูแล รักษา เครื่องยนต์และเครื่องจักรใหญ่ที่อยู่ใต้แนวน้ำทั้งหมด คือบุคคลากรที่มีความสำคัญในการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับเครื่องจักรในยามฉุกเฉินมากที่สุด
นายพิจารณ์ กล่าวว่า ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะแบริ่งเพลาจักรรั่วซึม หรือแผ่นเหล็กใต้ท้องเรือที่ทนรับความเครียดสะสมในเนื้อเหล็กไม่ไหวแตกร้าว จึงทำให้น้ำทะเลไหลเข้าใต้ท้องเรืออย่างรวดเร็ว โดยไหลเข้าไปในส่วนของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ทำให้ระบบไฟฟ้าล้มเหลว เครื่องยนต์ดับลง เจ้าหน้าที่พยายามติดเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรอง แต่เครื่องกำเนิดไฟฟ้าหมายเลข 4 ไม่สามารถใช้งานได้ เรือรบที่มีขนาดเกือบ 80 เมตร หนักเกือบ 1 พันตัน จึงเหลือเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเพียง 1 ตัว ไม่เพียงพอต่อการขับเคลื่อนต่อไปได้ ท้ายที่สุด เรือหลวงสุโขทัยที่มีรูรั่ว ขาดต้นกล ขาดมาตรวัดที่ใช้งานได้จริง ขาดครีบกันโคลง และขาดกำลังเครื่องยนต์ที่จะไปต่อ จึงต้องจมลงสู่ก้นอ่าวไทย สังเวยชีวิตทหารเรือ 24 นาย สูญหายอีก 5 นาย
“ทำไมถึงจ้องจะกินกันให้ได้ทุกส่วน การซ่อมบำรุงก็ไม่ได้มาตรฐาน อะไหล่ที่ควรจะเปลี่ยนก็ไม่เปลี่ยน ผู้รับเหมาที่จ้างมาซ่อม แทนที่จะเป็นบริษัทดี ๆ กลับเป็นบริษัทห้องแถวที่ไหนก็ไม่รู้ สรุปแล้วเป็นเรือรบ หรือเป็นขนมเค้กกันแน่ครับ ท่านปล่อยปละละเลย ให้มีการทุจริตในทุกกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของกองทัพ รวมถึงการซ่อมเรือรบของกองทัพ ปล่อยให้กำลังพล พี่น้องทหารเรือ ต้องทนใช้เรือรบที่ไม่ได้ถูกซ่อมบำรุงอย่างเหมาะสมให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้ทำศึกสงคราม จนเกิดโศกนาถกรรมครั้งนี้ ขออย่ามองยุทโธปกรณ์เป็นเหมือนขนมเค้ก ที่ต้องแบ่งกันกิน ยืนยันว่า ไม่ว่าจะเพิ่มงบประมาณให้กับกระทรวงกลาโหมมากเท่าใด แต่ตราบใดที่ยังอยู่ภายใต้รัฐบาลปรสิต ในระบอบ 3 ป. ก็จะยังคงอยู่ในการทุจริต คอร์รัปชั่น ระบบแบ่งกันกิน นายทหารน้ำดี ก็ยังคงจะต้องหมดความชอบธรรม ไม่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากประชาชน จึงถึงเวลาแล้วที่ต้องปฏิรูปกองทัพ” นายพิจารณ์ กล่าว.-สำนักข่าวไทย