กรุงเทพ 10 ธ.ค.- คปภ.เปิดอบรมหลักสูตร วิทยาการประกันภัยระดับสูง รุ่นที่ 11 เพื่อพัฒนาผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และธุรกิจประกันภัย ให้มีองค์ความรู้ด้านการประกันภัย ทั้งการประกันชีวิต การประกันวินาศภัย
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ.กล่าวว่า สถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง จัดตั้งขึ้นตามมติคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553 เพื่อเป็นศูนย์กลางการพัฒนาความรู้ จริยธรรม และ เพิ่มทักษะด้านการประกันภัยระดับสูงให้แก่บุคลากรประกันภัยทุกระดับ และส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานด้านการประกันภัย ตามแผนพัฒนาการประกันภัย
สำหรับการจัดการศึกษาอบรม “หลักสูตรวิทยาการประกันภัยระดับสูง (วปส.)” สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย โดยสถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง ได้จัดทำหลักสูตรนี้เป็นรุ่นที่ 11 เพื่อพัฒนาผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และธุรกิจประกันภัย ให้มีองค์ความรู้ด้านการประกันภัย ทั้งการประกันชีวิต การประกันวินาศภัย การบริหารจัดการความเสี่ยงภัยในด้านต่าง ๆ และมีการแลกเปลี่ยนความรู้ ข้อคิดเห็น ตลอดจนการเป็นผู้นำที่มีคุณธรรม จริยธรรม และการบริหารจัดการเชิงสร้างสรรค์ นำองค์กรไปสู่ความสำเร็จโดยสอดคล้องกับสภาวการณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมของโลก มีกำหนดการเริ่มเปิดการศึกษาอบรมตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนกรกฎาคม 2566 โดยมีกิจกรรมดังนี้
1.การบรรยาย สัมมนาและอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นโดยเน้นการเรียนรู้แบบผู้บริหารและการมีส่วนร่วม
2.การจัดทำและนำเสนอรายงานการศึกษากลุ่ม
3.การศึกษาดูงานภายในประเทศ
4.กิจกรรมเสริมสร้างความรับผิดชอบต่อสังคม
ในการอบรมครั้งนี้ คณะกรรมการสถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูงได้มีกระบวนการคัดเลือกอย่างเข้มข้นจนได้ผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคธุรกิจประกันภัย เข้าร่วมรับการอบรมจำนวนทั้งสิ้น 90 คน ประกอบด้วย ภาครัฐ จำนวน 5 คน ภาคการเงิน จำนวน 8 คน ภาคธุรกิจประกันภัย จำนวน 14 คน และภาคเอกชนอื่นๆ จำนวน 63 คน
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานเปิดการอบรม ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “นโยบายการพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืนของประเทศกับบทบาทของประกันภัย ภายใต้ New Challenges” โดยกล่าวว่า อาเซียนถือเป็นกลุ่มประเทศที่ถูกจับตามองจากชาติตะวันตก อาเซียนเรามีประชากรรวมกันราว 600 ล้านคน โดยเฉพาะประเทศไทย แต่เราต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีเพื่อรองรับการลงทุน เช่น เรื่อง เดต้าเซ็นเตอร์ เป็นต้น นอกจากนี้หลายประเทศยังมองว่าทำไมเศรษฐกิจไทย จึงฟื้นตัวเร็ว ก็เพราะเราเปิดประเทศก่อนใคร โดยเฉพาะการเปิดภูเก็ตแซนด์บล็อค ซึ่งปีนี้คาดว่าน่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยมากกว่า 20 ล้านคน โดยรายได้จากการท่องเที่ยวถือเป็น 12% ของจีดีพีประเทศ อย่างไรก็ตามในอนาคตไทยเราจะต้องมองไปถึงการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพและสังคมผู้สูงอายุด้วย
ส่วนเรื่องเงินบาทอ่อนตัวลงนั้น รมว.คลัง มองว่า เศรษฐกิจไทยกำลังจะฟื้นตัว และขอให้จับตาการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐ เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก.-สำนักข่าวไทย