กรุงเทพฯ 30 พ.ย. – ดีเอสไอเปิดยุทธการปราบโกงสายฟ้าฟาด เข้าค้น 41 จุด ลักลอบใช้กระแสไฟฟ้าและใช้เครื่องขุดเงินดิจิทัลเลี่ยงภาษีในเหมืองขุดบิตคอยท์ คาดทำให้รัฐสูญเสียรายได้กว่า 500 ล้านบาท
เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กระจายตรวจค้น ตามแผนปฏิบัติการ “Electrical Shock” ยุทธการปราบโกงสายฟ้าฟาด ร่วมกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กรมศุลกากร การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ค้นอาคารพาณิชย์ต้องสงสัยลักลอบใช้กระแสไฟฟ้า 41 จุด ใช้เป็นจุดทำเหมืองขุดเงินดิจิทัล ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี และกรุงเทพมหานคร โดยนำเครื่องมือที่ใช้ขุดบิทคอยน์มาจากต่างประเทศ ใช้กระแสไฟฟ้าปริมาณมากขนาดเทียบเท่ากับโรงงานอุตสาหกรรม โดยลักลอบต่อไฟตรง ไม่ผ่านมิเตอร์วัดไฟ มีความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา และอาจมีความผิดอาญาอื่นที่เกี่ยวข้องอีกหลายฐานความผิด
กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ สืบสวนจนพบกลุ่มนายทุนที่มีพฤติการณ์จัดหาอาคารพาณิชย์ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลกว่า 41 แห่ง เช่าไว้เป็นจุดวางเครื่องขุดเงินดิจิทัล แต่ละอาคารจะวางเครื่องขุดเงินดิจิทัล จุดละประมาณ 100 เครื่อง ต่อไฟตรงเข้าตัวอาคาร ไม่ผ่านมิเตอร์วัดไฟ ทำให้ เสียค่าไฟฟ้าต่ำกว่าความเป็นจริงมาก จากค่าไฟฟ้าประมาณเดือนละ 500,000 บาทต่อแห่ง แต่จ่ายค่าไฟจริงเพียงแห่งละ 300-2,000 บาทเท่านั้น ทำให้การไฟฟ้านครหลวงเสียหายกว่า 20 ล้านบาทต่อเดือน หรือปีละเกือบ 300 ล้านบาท ดีเอสไอขออนุมัติหมายค้นทั้ง 41 จุด ตรวจยึดเครื่องขุดเงินดิจิทัลกว่า 2,000 ตัว มูลค่ารวมกว่า 400 ล้านบาท ไว้ตรวจสอบ ส่วนกรมศุลกากรจะตรวจสอบว่ามีการนำเข้าราชอาณาจักรไทย โดยผ่านพิธีการทางศุลกากร โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หากเข้าข่ายการกระทำความผิดที่เป็นคดีพิเศษ ดีเอสไอจะได้ทำการสอบสวนต่อไป
การสืบสวนขยายผลยังพบว่าปัจจุบันมีการลักลอบใช้กระแสไฟฟ้า เพื่อทำเหมืองขุดเงินดิจิทัลจำนวนมากในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยนำเข้าเครื่องขุดเงินดิจิทัลจากสาธารณรัฐประชาชนจีนมาติดตั้งในอาคารพาณิชย์ที่ค่าเช่าไม่สูง เปิดเครื่องขุดตลอด 24 ชม. โดยไม่มีผู้พักอาศัยจริง ลักลอบใช้ไฟตรง ซึ่งเสี่ยงในการเกิดอัคคีภัย และยังทำให้รัฐต้องเสียหายค่าไฟฟ้ามากกว่า 500 ล้านบาท. -สำนักข่าวไทย