เมลเบิร์น 9 ก.ค. – ชาวออสเตรเลียราว 5 ล้านคนในเมืองเมลเบิร์นเริ่มกักตัวในเคหสถานตามมาตรการล็อกดาวน์ครั้งใหม่อย่างเข้มงวดเป็นระยะเวลาหกสัปดาห์ เพื่อยับยั้งการกลับมาแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ขณะที่รัฐนิวเซาท์เวลส์และควีนส์แลนด์ต่างประกาศปิดพรมแดนระหว่างรัฐวิกตอเรีย
ก่อนหน้านี้ รัฐวิกตอเรียประสบความสำเร็จจากการควบคุมการแพร่ระบาดภายในรัฐได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เกิดความวิตกกังวลว่า ชาวรัฐวิกตอเรียจำนวนมากที่เดินทางไปยังรัฐนิวเซาท์เวลส์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา อาจกลายเป็นตัวการของการแพร่เชื้อครั้งใหม่ในออสเตรเลีย
นางแมรี-หลุยส์ แมคลอส์ นักระบาดวิทยาของมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ในนครซิดนีย์ ให้สัมภาษณ์ต่อสถานีวิทยุกระจายเสียงและสถานีโทรทัศน์สาธารณะในออสเตรเลีย หรือเอบีซีว่า จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาเพียงไม่กี่รายที่เดินทางมาจากรัฐวิกตอเรียอาจก่อให้เกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างจนไม่อาจควบคุมได้ ด้านนางแกลดีส์ เบเรจิเกลียน มุขมนตรีรัฐนิวเซาท์เวลส์ กล่าวว่า พบผู้ป่วยโรคโควิด-19 รายใหม่ 2 คนที่พรมแดนของเมืองออลเบอรี และเตือนประชาชนให้หลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าออกจากพื้นที่ดังกล่าว เนื่องจากทางการรัฐนิวเซาท์เวลส์ต้องการสร้างความมั่นใจว่าสามารถสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสได้ก่อนที่จะลุกลาม
รัฐควีนส์แลนด์ประกาศวันนี้ว่า จะปิดพรมแดนไม่ให้ผู้เดินทางจากรัฐวิกตอเรียเข้ามาได้ รวมทั้งยกเลิกมาตรการกักตัว 14 วันสำหรับผู้เดินทางจากวิกตอเรียอีกด้วย ขณะที่ในนครเมลเบิร์นได้เกิดความวิตกกังวลถึงผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสุขภาพจิตอันเนื่องมาจากการประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ครั้งที่สอง ซึ่งทางการออสเตรเลียคาดว่า จะสร้างมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจ 6,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือราว 130,668 ล้านบาท ทั้งนี้ ร้านอาหารและคาเฟ่ในนครเมลเบิร์น สามารถจำหน่ายได้เพียงอาหารกลับบ้านเท่านั้น ขณะที่โรงยิม ร้านทำผม และโรงภาพยนต์ต้องหยุดให้บริการ ส่วนพลเมืองเมลเบิร์นต้องกักตัวอยู่ในบ้าน ยกเว้นผู้ที่ต้องออกไปทำงาน ออกกำลังกาย พบแพทย์ หรือซื้อข้าวของที่จำเป็น แม้ว่าจะเป็นมาตรการที่เข้มงวด แต่ผู้คนส่วนใหญ่ก็ยินดีปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด. – สำนักข่าวไทย