เจนีวา 11 ส.ค.- ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า คลื่นความร้อนที่เกิดขึ้นทั่วโลกในปีนี้มีความรุนแรงมากกว่าที่ผ่านมา พร้อมกับแนะนำให้ใช้วิธีคลายความร้อนที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ เพื่อลดการเพิ่มภาวะโลกร้อนที่ทำให้คลื่นความร้อนทวีความรุนแรง
เว็บไซต์ขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ให้คำนิยามคลื่นความร้อน (heatwave) ว่า เป็นช่วงเวลาที่ความร้อนส่วนเกินสะสมจากการที่อากาศร้อนผิดปกติหลายวันและคืนติดต่อกัน คลื่นความร้อนทำให้ความเสี่ยงหลายอย่างเพิ่มสูงขึ้น เช่น ความเสี่ยงด้านสุขภาพ ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ เนื่องจากทำให้คนเสียชีวิตเพิ่มขึ้น เกิดภาวะแห้งแล้ง ไฟป่า ไฟฟ้าดับ และพืชผลเสียหาย
เดือนมีนาคมปีนี้ ภูมิภาคเอเชียกลางเกิดคลื่นความร้อนรุนแรงผิดปกติ กลุ่มดับเบิลยูดับเบิลยูเอ (WWA) ที่เป็นกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกที่ศึกษาเรื่องบทบาทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ที่มีต่อสภาพอากาศสุดขั้ว เผยผลการศึกษาว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ภูมิภาคนี้ร้อนขึ้นถึง 4 องศาเซลเซียส ต่อมาในเดือนมิถุนายนชาวอเมริกันหลายล้านคนต้องเผชิญกับอุณหภูมิที่สูงกว่า 40 องศาเซลเซียส ถัดมาชาวยุโรปเผชิญกับคลื่นความร้อนตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม ซึ่งเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติ
กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นตัวเร่งให้เกิดสภาพอากาศสุดขั้วทั่วโลกหลากหลายอย่าง ตั้งแต่น้ำท่วม พายุ ไปจนถึงภาวะแห้งแล้ง และที่เห็นได้ชัดที่สุด คือ คลื่นความร้อน การที่โลกยังคงปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับสูง ส่วนใหญ่เกิดจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลของมนุษย์ได้ทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นจนถึงจุดที่นักวิทยาศาสตร์เกรงว่า มหาสมุทรทั่วโลกจะไม่สามารถทำหน้าที่ดูดซับความร้อนของโลกได้อีกต่อไป
องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติหรือนาซา (NASA) ของสหรัฐระบุว่า ภาวะเครียดจากความร้อนรุนแรง (extreme heat stress) ได้เพิ่มขึ้นแล้ว 2 เท่าในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ข้อมูลของมหาวิทยาลัยอิมพีเรียลคอลเลจลอนดอนและบัณฑิตวิทยาลัยสุขอนามัยและเวชศาสตร์เขตร้อนลอนดอนของอังกฤษเผยว่า ช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคมปีนี้ มีคนเสียชีวิตเพราะคลื่นความร้อนรุนแรงมากถึง 2,300 คนใน 12 เมืองทั่วยุโรป
นักวิทยาศาสตร์แนะนำว่า การสร้างความตระหนักรู้ว่าคลื่นความร้อนเป็นอันตรายมากขึ้นเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเป็นอันดับแรก ขณะเดียวกันต้องหาวิธีคลายความร้อนที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ เช่น ใช้พลังงานลมหรือพลังงานแสงอาทิตย์ แทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เพื่อลดการเพิ่มภาวะโลกร้อนที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การปรับเปลี่ยนชั่วโมงการทำงานและการเรียนให้หลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่อากาศร้อน การให้คนทำงานกลางแจ้งมีเวลาพักมากขึ้นและดื่มน้ำบ่อยขึ้น รวมทั้งทำให้อาคารต่าง ๆ มีความเย็นมากขึ้น เช่น ทาสีหลังคาเป็นสีขาว.-814.-สำนักข่าวไทย