มาดริด 4 ก.ย. – กลุ่มด้านสภาพอากาศโลก เตือนว่าสภาพอากาศร้อน แล้ง และลมแรงในฤดูร้อนนี้ที่ทำให้เกิดไฟป่าครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบ 3 ทศวรรษ ของสเปน รวมถึงโปรตุเกส มีโอกาสเกิดซ้ำทุก 15 ปี อันเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากฝีมือมนุษย์
เวิลด์เวเธอร์แอททริบิวชัน ( World Weather Attribution) ซึ่งเป็นการรวมตัวนานาชาติ ได้ศึกษาเรื่องอิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่อาจมีต่อการเกิดเหตุการณ์อากาศสุดขั้วมากกว่า 110 การศึกษา กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ 13 คนในกลุ่มนี้วิเคราะห์ข้อมูลพบว่า สภาพอากาศสุดขั้วที่ทำให้เกิดไฟป่าทางตะวันตกเฉียงเหนือของคาบสมุทรไอบีเรีย ซึ่งครอบคลุมบางส่วนของสเปนและโปรตุเกส มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดซ้ำในทุก 15 ปี อันเป็นผลจากสภาพภูมิอากาศปัจจุบันที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น 1.3 องศาเซลเซียสจากยุคก่อนอุตสาหกรรม ขณะที่โลกยุคก่อนอุตสาหกรรมมีโอกาสจะเกิดสภาพอากาศสุดขั้วดังกล่าวในทุก 500 ปี
ฤดูร้อนปีนี้ไฟป่าได้เผาไหม้พื้นที่ในสหภาพยุโรปไปแล้วมากกว่า 6.25 ล้านไร่ ในจำนวนนี้ 2 ใน 3 เกิดขึ้นในสเปนและโปรตุเกส ไฟป่าคร่าชีวิตคน 8 คน คนจำนวนมากต้องอพยพ รถไฟและทางหลวงในหลายพื้นที่ไม่สามารถให้บริการได้ โดยเกิดขึ้นในช่วงที่ยุโรปเผชิญคลื่นความร้อนนานถึง 16 วัน มากที่สุดนับตั้งแต่มีการบันทึกข้อมูล

ผลการวิเคราะห์พบด้วยว่า คลื่นความร้อนรุนแรงเช่นนี้มีโอกาสจะเกิดขึ้นทุก 13 ปีในโลกปัจจุบัน เปรียบเทียบกับโลกในยุคที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากฝีมือมนุษย์ที่มีโอกาสจะเกิดขึ้นทุก 2,500 ปี ทั้งนี้ตามคำนิยามขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก คำว่า คลื่นความร้อน (heatwave) หมายถึงช่วงเวลาที่ความร้อนส่วนเกินสะสมติดต่อกันจากการที่อากาศช่วงกลางวันและกลางคืนร้อนผิดปกติ
ทีโอดอร์ คีปปิง นักวิจัยของศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษา มหาวิทยาลัยอิมพีเรียลคอลเลจลอนดอนของอังกฤษระบุว่า อากาศสุดขั้วกลายเป็นสิ่งที่เกิดบ่อยครั้งมากขึ้น แต่การเสียชีวิตและความเสียหายเป็นสิ่งที่สามารถป้องกันได้ ยกตัวอย่างไฟป่า จะต้องมีการเร่งดูแลพืชพรรณในพื้นที่ชนบท โดยเฉพาะพื้นที่ที่เกษตรกรและผู้เลี้ยงสัตว์ปล่อยทิ้งร้าง แต่ในที่สุดแล้วโลกจะต้องยุติการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างน้ำมัน ก๊าซ และถ่านหินที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน.-814.-สำนักข่าวไทย