ประกันโควิด เจอ-ไม่จ่าย-จบ

กรุงเทพ 15 มี.ค.- ผู้เสียหายจากประกันโควิด รวมตัวบุก คปภ. เรียกร้องบริษัทประกันจ่ายสินไหม หลังเบิกจ่ายไม่ได้นานกว่า 1 เดือน ด้าน คปภ.ยืนยันพิทักษ์สิทธิประชาชนเต็มที่


นายรณรงค์ แก้วเพชรประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม นำผู้เสียหายที่ได้รับความเดือดร้อนจากการทำประกันภัยโควิด ทั้งประเภท “เจอจ่ายจบ” รวมถึงกรมธรรม์ประเภทอื่นที่ไม่ได้รับเงินค่าสินไหม มาร้องเรียนที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย  (คปภ.) 

โดยนายรณรงค์ระบุว่า พาประชาชนผู้เสียหาย จากการทำประกันแล้วไม่ได้รับเงินค่าสินไหม โดยเฉพาะประเภท “เจอจ่าย จบ” โดยเรียกร้องให้คปภ.เร่งรัดการเบิกจ่ายให้เร็วที่สุด หลังเบิกจ่ายไม่ได้นานกว่า 1 เดือนแล้ว โดยขณะนี้มีผู้เดือดร้อนที่รวมตัวกันประมาณ 10,000 คน เป็นกรมธรรม์จากบริษัทไทยประกันภัย 4,000 คน และบริษัทอาคเนย์ประกันภัย 3,000 คน พร้อมยืนยันว่าบริษัทประกันจะอ้างว่าประสบภาวะขาดทุนไม่ได้ เนื่องจากมี คปภ.คอยกำกับดูแลอยู่ตามกฎหมาย หากทำไม่ได้ ก็ให้ยุบ คปภ.ไปเลย


น.ส.อรอนงค์ หลวงวิเศษ 1 ในผู้เดือดร้อน เดินทางมาจาก จ.เชียงใหม่ บอกว่า ติดโควิดทั้งครอบครัว เป็นเพียงมนุษย์เงินเดือน ไม่มีใครอยากติดเชื้อ แล้วต้องเสียเงินค่าตรวจ RTPCR กว่า 3,000 บาท หวังจะได้เงินค่าสินไหม สุดท้ายยื่นเรื่องกว่า 30 วันแล้วยังไม่ได้รับเงิน  

ด้าน น.ส.ปิยวรรณ จันทร์เอกหล้า ตัวแทนผู้เดือดร้อน จากการทำประกันภัยโควิด ประเภทเงินชดเชยรายได้ระบุว่า ถูกบริษัทเมืองไทยประกันภัย ปฏิเสธไม่จ่ายเงิน อ้างคำสั่งกระทรวงสาธารณสุข (สธ. )5 ข้อ เช่น ต้องเป็นผู้ป่วยใน หรือไข้สูง 39 องศา แม้ภายหลัง สธ.จะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง แต่สุดท้ายอ้างว่ายังไม่ได้รับคำสั่งจาก คปภ. จึงยังไม่ได้เงินชดเชย พร้อมเรียกร้อง ให้ น.ส.นวลพรรณ ล่ำซำ “มาดามแป้ง” ผู้บริหารเมืองไทยประกันภัย ช่วยเร่งรัดจ่ายเงินด้วย 

ขณะที่นายโสรัจจ์ แรกสกุลชัย  ผู้ช่วยเลขาธิการ คปภ. ฝ่ายพิทักษ์สิทธิประโยชน์ ระบุว่าว่าจะปกป้องและพิทักษ์สิทธิประชาชนผู้เอาประกันภัยเต็มที่ ส่วนที่มีการจ่ายสินไหมล่าช้า กรณีเจอจ่ายจบส่วนหนึ่ง เพราะเข้าใจเงื่อนไขไม่ตรงกันอยู่ สุดท้ายยืนยันว่า คนที่เป็นผู้ป่วยใน หรือฮอสพิเทล ต้องได้รับเงินชดเชย  


สำหรับกรณี บริษัทอาคเนย์ฯ และบริษัทไทยประกันภัย ที่มีกรมธรรม์ประเภท “เจอจ่ายจบ” ทั้ง2 บริษัทมีการขอเลิกการประกอบธุรกิจและขอคืนใบอนุญาต ตามกฎหมาย ซึ่ง คปภ.ได้กำหนดเงื่อนไข ให้ปฏิบัติ ในหลักการคือ ผู้เอาประกันภัยต้องไม่ได้รับผลกระทบ  แต่เนื่องจาก ทั้ง 2บริษัทฯ มีปัญหา เรื่องสภาพคล่อง ซึ่ง คปภ.แจ้งบริษัทฯว่าต้องทำตามเงื่อนไข  แต่หากบริษัทฯ ไม่จ่าย คปภ.พร้อมยกระดับทางกฎหมายคุ้มครองประชาชนต่อไป

ส่วนกรณี ประกันภัยประเภท เงินชดเชยการขาดรายได้ การรักษาแบบ โฮมไอโซเลชั่น หรือ รักษาตัวที่ฮอสพิเทล ไม่มีอยู่ในกรมธรรภ์อยู่แล้ว แต่ ล่าสุดได้หารือกับผู้ประกอบธุรกิจประกัน ได้ข้อตกลงเบื้องต้นว่า จะช่วยจ่ายสินไหม เบื้องต้น ไม่เกิน 12,000 บาท ซึ่งคปภ.ต้องออกเป็นระเบียบปฏิบัติให้ต่อไป 

.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง