สธ.17 ก.ย.-สธ.เปิดแนวทางฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเด็กอายุ 12-17 ปี จำนวน 4.5 ล้านคน เริ่มฉีดจริง 4 ต.ค.นี้ ภายใต้เงื่อนไขต้องได้รับอนุญาตจากผู้ปกครอง พร้อมจัดทำคู่มือการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ แจงผลดีผลเสียและอาการข้างเคียง ให้ใช้ประกอบการตัดสินใจ
นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงสถานการณ์โควิด-19 และยอดการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด ว่า เฉพาะวานนี้ (16ก.ย.) มีผู้ฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้น 864,589 โดส แบ่งเป็นเข็ม1 350,813 โดส เข็ม2 512,811 โดส เข็ม3 965 โดส ทำให้มียอดสะสมเป็น 43,342,103 โดส แบ่งเป็นเข็ม1 จำนวน 28,436,015 โดส เกือบ 40%ของประชากรแล้ว ส่วนเข็ม2 จำนวน 14,285,995 โดส ราว20%ของประชากร และเข็ม 3 จำนวน 620,093 โดส เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทยอยู่ในลำดับที่2
นพ.โสภณ ยังเปิดเผยแผนการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้กับกลุ่มเด็กนักเรียนอายุ12 ปีขึ้นไป โดยเน้นไปที่กลุ่มที่กำลังจะเปิดเรียนในช่วงต้นเดือน พ.ย.นี้ โดยกลุ่มอายุ 12-17 ปี ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงชั้นมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า โดยจะใช้วิธีการให้บริการวัคซีนในโรงเรียนหรือสถานศึกษาครอบคลุมโรงเรียนทั้งสังกัดภาครัฐและเอกชน รวมถึงโรงเรียนประเภทอื่นๆ ที่มีเด็กในวัยนี้ โดยมีเป้าหมายทั้งหมด 4.5 ล้านคน สำหรับนักเรียนที่ไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษาปกติ ก็สามารถไปขอขึ้นทะเบียนรับวัคซีนกับโรงพยาบาลใกล้บ้านได้เช่นกัน ตั้งแต่ต้นเดือน ต.ค.เป็นต้นไป
สำหรับแผนการให้บริการวัคซีน มีการหารือต่อเนื่องมาเป็นระยะ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เริ่มดำเนินการวางแผนแล้ว อย่างกรมควบคุมโรคก็ได้ออกคู่มือแนวทางการดำเนินงาน ออกแบบการจัดการให้เกิดการสะดวกและรวดเร็ว ให้ทันเปิดเรียน ตั้งเป้าเริ่มฉีดวัคซีนให้เด็กในวันที่ 4 ต.ค.ขณะนี้มีการประสานไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่มีโรงเรียนอยู่ในสังกัด และใช้กลไกของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด สำรวจและให้โรงเรียนประสานกับผู้ปกครอง เพื่อแจ้งให้ทราบถึงแผนงานการฉีดวัคซีนให้นักเรียน โดยการกำหนดสถานที่ฉีด ซึ่งอาจเป็นสถานที่ในโรงเรียนนั้นๆ หรือสถานที่อื่นที่มีความสะดวก ให้บริการได้อย่างทั่วถึงภายในเวลารวดเร็ว
โดยเด็กที่ได้รับการฉีดวัคซีนจะมีการลงระบบของฐานข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข ในส่วนการดำเนินงานในโรงเรียน เจ้าของสถานที่จะจัดเตรียมความพร้อมและนัดวันที่จะฉีด โรงพยาบาลที่ให้บริการจะเป็นโรงพยาบาลในพื้นที่ใกล้กับสถานศึกษา ขณะที่กรมควบคุมโรคจะจัดเตรียมวัคซีนไฟเซอร์และอุปกรณ์สำหรับการฉีด รวมทั้งเรื่องการติดตามจำนวนและอาการหลังฉีดเฝ้าระวังต่อเนื่อง อย่างน้อย 30 วัน
อย่างไรก็ตามในการรับวัคซีน ผู้ปกครองจะต้องร่วมตัดสินใจด้วย โดยทางกรมควบคุมโรค ได้จัดทำคู่มือการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปภายในมีคำแนะนำต่างๆ ทั้งผลดีผลเสีย รวมถึงผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการฉีดวัคซีน เช่น กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ที่เคยเกิดขึ้นทั้งในต่างประเทศและในไทย เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจให้ผู้ปกครอง ก่อนแจ้งความประสงค์ว่าจะให้บุตรหลานเข้ารับวัคซีนหรือไม่
ส่วนข้อสงสัย ผู้ปกครองสามารถเลือกวัคซีนได้เองหรือไม่ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ตอนนี้มีเพียงวัคซีนชนิด mRNA ไฟเซอร์ ที่ภาครัฐจัดหามาให้ได้ครอบคลุมนักเรียนจำนวนมาก ส่วนวัคซีนเชื้อตายซิโนแวค และซิโนฟาร์ม ที่มีการฉีดเด็กในจีนแล้วหลายล้านคน ยังอยู่ในขั้นตอนการขออนุญาตฉีดในเด็ก จาก อย. หากต้องการรับวัคซีนเชื้อตาย ยังอาจต้องรออีกสักระยะ
ส่วนอีกข้อสงสัย สำหรับผู้ที่จองวัคซีนโมเดอร์นาไว้กับโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งจะมีการนำเข้ามาตั้งแต่เดือน ต.ค.นี้ ถ้ายังไม่เคยได้รับวัคซีนชนิดใดเลยก็สามารถให้ฉีดได้เลย แต่ถ้าเคยรับวัคซีนอื่นมาแล้ว ควรปรึกษาแพทย์เป็นรายกรณีไปเพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมก่อนการฉีดวัคซีนโมเดอร์นา
ดาวน์โหลดเอกสาร “แนวทางการให้บริการวัคซีนโควิด 19 (Pfizer) สำหรับนักเรียน/นักศึกษา อายุ 12 ปีขึ้นไป ที่ศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า” โดยกรมควบคุมโรค
https://drive.google.com/file/d/1gRcYfZrnh8p3KASKEOaKu2PkwEZ8t60r/view?usp=drivesdk
เอกสารสำรวจ-สรุป-แสดงความประสงค์-แบบคัดกรอง การฉีดวัคซีนนักเรียน ของกระทรวงศึกษาธิการ
https://www.moe.go.th/แบบฟอร์มการฉีดวัคซีนนั/45903
รวมคลิป วีดิทัศน์ InfoGraphic เพื่อใช้เผยแพร่ สร้างการรับรู้ ความเข้าใจ
https://drive.google.com/drive/folders/1XNlLFTrMa4h2dYpHbS2XOo8fJ4NCE23b .-สำนักข่าวไทย