นายกฯ อนุมัติงบ 98 ล้านบาท เร่งกำจัดปลาหมอคางดำอีก 3 ล้าน กก.

อนุมัติงบกำจัดปลาหมอคางดำ

กรุงเทพฯ 21 มี.ค.- “รมช.อัครา” เผยนายกฯ อนุมัติงบประมาณ 98 ล้านบาท กำจัดปลาหมอคางดำเพิ่มอีก 3 ล้านกิโลกรัม ย้ำกรมประมงดำเนินการแก้ไขปัญหาต่อเนื่อง มั่นใจสถานการณ์จะดีขึ้นตามลำดับ

นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำผู้บริหารกระทรวงแถลงข่าว “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับการแก้วิกฤตปลาหมอคางดำ…ทางรอดระบบนิเวศไทย” โดยมีนายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และนายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมงร่วมด้วย”


นายอัครากล่าวว่า ในฐานะที่กำกับดูแลกรมประมงได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และได้มอบนโยบายให้กรมประมงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2567 ที่ได้กำหนดให้การระบาดของปลาหมอคางดำเป็นวาระแห่งชาติและแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ พ.ศ. 2567 – 2570 ซึ่งประกอบด้วย 7 มาตรการ 15 กิจกรรม กรอบวงเงินงบประมาณ 450 ล้าน ดังนี้

1.การควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำทุกแห่งที่พบการแพร่ระบาด โดยสามารถกำจัดปลาหมอคางดำ 3,702,038 กิโลกรัม (บ่อเลี้ยง 2,321,964.50 กก. แหล่งน้ำธรรมชาติ 1,380,073.50 กก.) ผ่านโครงการต่างๆ


2.การกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยการปล่อยปลาผู้ล่าอย่างต่อเนื่อง ได้ดำเนินการปล่อยลูกพันธุ์ปลาผู้ล่าทั้งสิ้น 743,136 ตัว ได้แก่ ปลากะพงขาว 335,136 ตัว ปลาอีกง 310,000 ตัว ปลาช่อน 58,000 ตัว ปลากราย 20,000 ตัว ปลากดเหลือง 20,000 ตัว

3.การนำปลาหมอคางดำที่กำจัดออกจากระบบนิเวศไปใช้ประโยชน์ ได้บูรณาการกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนนำไปผลิตปลาป่น ผลิตน้ำหมักชีวภาพ ปลาร้า นำไปบริโภคแปรรูป ทำปลาแดดเดียว ปลาหวาน กะปิ น้ำปลา และนำส่งโรงงานลูกชิ้น รวมถึงใช้เป็นปลาเหยื่อ รวมกว่า 3,702,038 กิโลกรัม

4.การสำรวจและเฝ้าระวังการแพร่กระจายของประชากรปลาหมอคางดำในพื้นที่กันชนได้ดำเนินการจัดทำระบบแจ้งตำแหน่งการพบปลาหมอคางดำ สำหรับประชาชน และได้จัดตั้งชุดสำรวจและเฝ้าระวังลงพื้นที่สำรวจข้อมูลความชุกชุมในพื้นที่เดือนละ 2 ครั้ง


5.สร้างความรู้ ความตระหนักและการมีส่วนร่วมในการกำจัดปลาหมอคางดำ ได้จัดทำการประชาสัมพันธ์ความรู้เกี่ยวกับปลาหมอคางดำผ่านช่องทางสื่อต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการจัดกิจกรรมต่างๆ ในระดับพื้นที่ เพื่อสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วม ตลอดจนออกประกาศ ระเบียบ และกฎหมาย ที่เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ 10 ฉบับ

6.การพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ มีการจัดทำโครงการ การเหนี่ยวนำชุดโครโมโซม 4n เพื่อให้เกิดหมันในปลาหมอคางดำ และกรมประมงยังได้จัดทำข้อเสนอโครงการวิจัย 19 เรื่อง เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

7.การฟื้นฟูระบบนิเวศ ได้มีการวางแผนผลิตพันธุ์สัตว์น้ำที่มีความหลากหลาย เพื่อเตรียมปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ มุ่งเน้นการฟื้นฟูความหลากหลายและความสมบูรณ์ของระบบนิเวศให้กับมาอุดมสมบูรณ์ดังเดิม

จากมาตรการที่ดำเนินการมา ยืนยันว่า สถานการณ์ดีขึ้นตามลำดับ จากข้อมูลการสำรวจของกรมประมง ในเดือนกรกฎาคม 2567 พบการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำใน 19 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี สมุทรปราการ กรุงเทพฯ นนทบุรี ราชบุรี นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา หากแบ่งตามระดับความชุกชุม พบว่า

-ชุกชุมระดับมาก (มากกว่า 100 ตัว/100 ตารางเมตร) มี 4 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ระยอง สมุทรปราการ และประจวบคีรีขันธ์

-ชุกชุมระดับปานกลาง (11-100 ตัว/100 ตารางเมตร) 9 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรสาคร สมุทรสงคราม นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี ชุมพร สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช

-ชุกชุมระดับน้อย (1-10 ตัว/100 ตารางเมตร) 3 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา นนทบุรี และสงขลา และไม่พบปลาหมอคางดำ 3 จังหวัด ได้แก่ ปราจีนบุรี ชลบุรี และพัทลุง

เมื่อเปรียบเทียมกับปัจจุบันปรากฏว่า ไม่พบประชากรปลาหมอคางดำในระดับชุกชุมมาก โดยมีพื้นที่มีความชุกชุมระดับปานกลาง พบ 5 จังหวัด ได้แก่ ระยอง สมุทรสาคร ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และนครศรีธรรมราช ส่วนความชุกชุมระดับน้อย 11 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ชลบุรี ฉะเชิงเทรา กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ สมุทรสงคราม นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี สุราษฎร์ธานี และสงขลา ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่าประชากรปลาหมอคางดำมีแนวโน้มลดลง จากการดำเนินการตามมาตรการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง (มีการสุ่มตรวจทุกเดือน)

ขณะที่สถานการณ์การเพาะเลี้ยงในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ พบว่า พื้นที่เพาะเลี้ยงที่มีการแพร่ระบาดมาก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และประจวบคีรีขันธ์ เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์น้ำแบบธรรมชาติและแบบกึ่งพัฒนา ซึ่งกรมประมงได้ตรวจสอบ ควบคุมและกำจัดอย่างต่อเนื่องต่อไป รวมถึงได้ประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางสื่อต่างๆ ทั้งระดับประเทศและท้องถิ่น รวมถึงส่งเจ้าหน้าที่ในระดับพื้นที่เข้าไปเสนอแนะแนวทางการจัดการบ่อเลี้ยง เพื่อป้องกันการหลุดรอดของปลาหมอคางดำเข้าไปในบ่อเลี้ยงให้กับเกษตรกรแล้ว

นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวว่า จากความเดือดร้อนของเกษตรกร ชาวประมง ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ตลอดจนประชาชน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มิได้นิ่งนอนใจเร่งหาทางออกในการช่วยเหลือเยียวยา โดยนายอัคราซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานพิจารณากรอบหลักเกณฑ์การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568 โดยคณะทำงานประกอบด้วย รองอธิบดีกรมประมง เป็นประธาน มีผู้แทนจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผู้แทนกรมบัญชีกลาง ผู้แทนสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้อำนวยการสำนักแผนงานและโครงการพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ของกรมประมง และประมงจังหวัดในเขตพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำร่วมเป็นคณะทำงาน ซึ่งคณะทำงานชุดดังกล่าวได้มีการประชุม เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้กรมประมงดำเนินการนำข้อมูลวิชาการความชุกชุมของปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติ ประกอบการประเมินและจัดทำเกณฑ์การพิจารณาความเสียหายของผู้ได้รับผลกระทบ สำหรับใช้ในการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ปลาหมอคางดำ) ของจังหวัด เพื่อให้เป็นไปตามข้อ 1 (4) ของประกาศกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน เพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดร่วมกับคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ก.ช.ภ.จ.) พิจารณาใช้ประกอบการประกาศเขตภัยพิบัติฉุกเฉิน ซึ่งเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นกรมประมงจะเสนอขอความเห็นชอบคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ และกรมบัญชีกลาง พร้อมทั้งแจ้งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และจังหวัดต่อไป

นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมงกล่าวว่า การดำเนินการควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำ ตามวาระแห่งชาติของกรมประมงนั้น ได้บูรณาการหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม และดำเนินการอยู่ตลอดในทุกมิติทั้งการป้องกัน กำจัด นำไปใช้ประโยชน์ เยียวยาผลกระทบ ตลอดจนฟื้นฟูระบบนิเวศ

จากข้อมูลทางสถิติต่างๆ ที่กรมประมงเก็บรวบรวมอยู่ตลอดนั้น บ่งชี้ได้ว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำเริ่มอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น ดังนั้น กรมประมงจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเพิ่มความเข้มข้นในการดำเนินการตาม 7 มาตรการสำคัญต่อไป

ขณะนี้ กรมประมงได้ขอใช้งบประมาณจำนวน 200 ล้านบาท จากสำนักงบประมาณ ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบวงเงิน 450 ล้านบาทที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ เพื่อนำมาแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำ ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติแล้ว

ล่าสุดนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เล็งเห็นถึงความเร่งด่วนของปัญหา จึงได้มอบหมายให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณ 98,457,100 บาท ให้กรมประมงอย่างเร่งด่วน เพื่อใช้จ่าย ดังนี้

1.การรับซื้อปลาหมอคางดำที่ถูกกำจัดออกจากแหล่งน้ำทุกแห่งที่พบการแพร่ระบาดทั้งธรรมชาติและบ่อเลี้ยง 3 ล้านกิโลกรัม ในราคา 20 บาท/กิโลกรัม เป็นเงิน 60 ล้านบาท เพื่อนำไปผลิตน้ำหมักชีวภาพ และแปรรูปในรูปแบบต่างๆ

2.สนับสนุนกากชาเพื่อกำจัดปลาหมอคางดำในพื้นที่เพาะเลี้ยง 35,000 กิโลกรัม เป็นเงิน 10.5 ล้านบาท

3.สนับสนุนปลานักล่า เช่น ปลากะพงขาว ปลาอีกง ปลาช่อน ปลากราย เป็น​ต้น เพื่อปล่อยลงในบ่อเลี้ยงที่กำจัดปลาหมอคางดำแล้ว​300,000 ตัว เป็นเงิน 3 ล้านบาท

4.การนำปลาหมอคางดำที่กำจัดออกไปใช้ประโยชน์ ผลิตน้ำหมักชีวภาพ 3.2 ล้านลิตร และแปรรูปในรูปแบบต่างๆ เป็นเงิน 22 ล้านบาท

5.สนับสนุนเครื่องมือทำการประมงเพื่อจับปลาหมอคางดำให้แก่เกษตรกรและชาวประมง พร้อมค่าดำเนินงานต่างๆ ประมาณ 3 ล้านบาทซึ่งคาดการณ์ได้ว่า จะสามารถควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำได้ในกรอบเวลาที่กำหนด

ทั้งนี้ กรมประมงจะเร่งดำเนินการในการรับซื้อปลาหมอคางดำ โดยขณะนี้ได้กำหนดจุดรับซื้อไว้แล้วในเบื้องต้น 86 จุด และเตรียมประกาศรับสมัครจุดรับซื้อเพิ่มเติมต่อไป ซึ่งคาดการณ์ว่า จะสามารถแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำได้ในกรอบเวลาที่กำหนด หลังจากนั้นจะเร่งฟื้นฟูความหลากหลายและความสมบูรณ์ของระบบนิเวศต่อไป.-512.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

พระขโมยรถยนต์โยมวันเข้าพรรษา

กาฬสินธุ์ 12 ก.ค.-วงการผ้าเหลืองไม่แผ่ว พระหนุ่มขโมยรถยนต์ญาติโยมที่มาทำบุญวันเข้าพรรษา ถูกตำรวจสกัดจับได้ทันควัน ตำรวจ สภ.สมเด็จ จ.กาฬสินธุ์ สกัดจับรถเก๋งสีดำคันบริเวณสี่แยกไฟแดง อ.สมเด็จ หลังรับแจ้งว่าพระสงฆ์หนุ่มแอบขโมยรถจากญาติโยมที่มาทำบุญในวันเข้าพรรษา แล้วขับหนีมาทาง อำเภอสมเด็จ ตำรวจจึงออกสกัดจับจนเจอ ส่วนพระสงฆ์ที่ก่อเหตุมีอาการพูดจาวกไปวนมา ตำรวจจึงนำตัวมาสงบสติอารมณ์ที่โรงพัก และแจ้งให้เจ้าของรถมารับรถคืน เตรียมดำเนินคดีกับพระรูปนี้ต่อไป หลังสึกจากการเป็นพระ.-สำนักข่าวไทย

น้ำป่าทะลักท่วมแพร่ บ้านเรือนเสียหายหนัก

แพร่ 12 ก.ค.-ฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ จ.แพร่ น้ำป่าทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรช่วงกลางดึก เสียหาย 2 อำเภอ เกิดเหตุน้ำป่าไหลหลาก เข้าท่วมพื้นที่ชุมชนในตำบลแดนชุมพล จังหวัดแพร่ และอำเภอร้องกวางบางส่วน เนื่องจากมีฝนตกลงมาอย่างหนักในช่วงค่ำคืนที่ผ่านมา ส่งผลให้บ้านเรือนของประชาชนได้รับความเสียหายในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ลุ่มและแนวทางน้ำธรรมชาติที่รับน้ำจากภูเขาและป่าใกล้เคียง ปริมาณน้ำที่หลากเข้ามาเกิดจากฝนตกหนักต่อเนื่องตลอดช่วงคืนที่ผ่านมา ทำให้ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านไม่ทันตั้งตัว ทรัพย์สินของประชาชนบางส่วนได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะบ้านโทกค่า อำเภอสอง จังหวัดแพร่ หลายหลังคาเรือนได้รับผลกระทบเนื่องจาก ไม่เคยเกิดเหตุแบบนี้มาก่อน ปีนี้น้ำมากกว่าทุกปี ทำให้เก็บข้าวของไม่ทัน ได้รับความเสียหาย ครั้งสุดท้ายที่เคยท่วม ตั้งแต่ปี 2538 .-สำนักข่าวไทย

สองสาวใหญ่ย่องเข้ากุฏิพระอาพาธ ฉกมือถือ

กทม. 12 ก.ค. – สองสาวใหญ่ ย่องเข้ากุฏิพระอาพาธ ฉกโทรศัพท์มือถือลอยนวล พบเคยเข้ามาขอเงินหลวงตาแล้วครั้งหนึ่ง กล้องวงจรปิดบันทึกภาพขณะ ผู้หญิง 2 คนเข้าไปในกุฏิที่พระสงฆ์นอนอาพาธอยู่ คนหนึ่งนั่งพื้นส่วนอีกคนยืนอยู่แล้วเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือบนเตียงนอนไป เหตุการณ์นี้ นายมนูญ อายุ 29 ปี หลานชายของพระลูกวัดแห่งหนึ่ง ในซอยประชาอุทิศ 27 ถนนประชาอุทิศ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ ร้องเรียนกับผู้สื่อข่าว ให้ช่วยตามหาสองสาวใหญ่ ย่องเข้ากุฏิ “หลวงตาสุข” อายุ 80 ปี ซึ่งป่วยเป็นโรคประจำตัว ประกอบกับอายุมากเดินได้ไม่ปกติ โดยหลวงตาสุข เป็นพระลูกวัด พักอยู่กุฏิด้านหลังโบสถ์ เมื่อวานนี้ (11 ก.ค.) ประมาณ 13.45 น. ขณะกำลังนอนพักผ่อนอยู่ มีหญิงร่างท้วม 2 คนเข้าไปในกุฏิ จากนั้นคนใส่เอี๊ยมสีเขียวผมสั้นลงมือค้นหาสิ่งของบนหัวเตียง ส่วนอีกคนที่มาด้วย คอยดูต้นทาง จนกระทั่งหญิงคนที่รื้อหาสิ่งของมองเห็นโทรศัพท์มือถือ ราคาประมาณ 4,000 บาท ของพระที่วางไว้หัวเตียง […]

มองเป็นการกระทำส่วนบุคคล ปมมีชื่อพระโผล่คลิปสีกา ก.

กรุงเทพฯ 11 ก.ค. – เจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรฯ เผยกรณีปรากฏชื่อ “พระปริยัติธาดา” ในคลิปพัวพันสีกา ก. มองเป็นการกระทำส่วนบุคคล ส่วนตัวอยากเห็นคลิปเพื่อยืนยันว่าท่านเกี่ยวข้องอย่างไร จากกรณีปรากฏรายชื่อพระในคลิปมีความสัมพันธ์กับ “สีกา ก.” จนถึงขั้นปาราชิก หนึ่งในนั้นคือ พระปริยัติธาดา ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร และมีรายงานข่าวว่าท่านหายตัวจากวัดหลังจากตกเป็นข่าว ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยังวัดกัลยาณมิตรฯ พบว่าพระของวัดทุกรูปลงโบสถ์เพื่อประกอบศาสนกิจเนื่องในวันเข้าพรรษา ภายในพระอุโบสถ ภายหลังประกอบศาสนกิจลงโบสถ์ของพระวัดกัลยาณมิตรฯ เสร็จสิ้น พระพรหมกวี เจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรฯ ได้ถ่ายรูปกับพระใหม่และพระสงฆ์ในวัด และให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปถ่ายภาพ พร้อมกับพูดคุยเบื้องต้น กรณีปรากฏชื่อของพระปริยัติธาดา เป็นหนึ่งในบุคคลในคลิปที่เกี่ยวข้องกับสีกา ก. ว่าส่วนตัวไม่ทราบ คนเราไม่ได้รู้เรื่องส่วนตัวของคนอื่น มองเป็นเรื่องธรรมชาติในสังคมที่มีทั้งคนดีและไม่ดี เรื่องนี้เป็นการกระทำส่วนบุคคล ส่วนตัวอยากเห็นคลิปเพื่อยืนยันว่าท่านเกี่ยวข้องอย่างไร และอยากถาม พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว เพื่อขอดูคลิปที่กล่าวอ้าง ถ้าภาพมันชัดเจนก็ต้องออกตามกฎ ซึ่งใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น เมื่อถามว่า พระปริยัติธาดา ออกไปจากวัดตั้งแต่เมื่อไร พระพรหมกวี บอกว่า ท่านออกไปจากวัด 6-7 วันแล้ว ก็ออกไปเฉยๆ ไม่ได้สึกออกไป และไม่รู้ว่าตอนนี้สึกหรือยัง แต่หากจะสึกต้องแจ้งมาที่วัด […]

ข่าวแนะนำ

ตาวัย 71 ปี ขับรถพุ่งชนรถพ่วงเสียชีวิต

สมุทรสงคราม 13 ก.ค.-ตาวัย 71 ปี ขับเก๋งพุ่งชนกลางลำรถพ่วงบรรทุกเสาเข็มขณะกำลังกลับรถ เสียชีวิตบนถนนสมุทรสงครามบางแพ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม กล้องวงจรปิดบันทึกภาพเหตุการณ์ขณะรถพ่วงบรรทุกเสาเข็มกำลังกลับรถทำให้ตัวรถขวางถนน จังหวะนั้นรถเก๋ง ขับมาด้วยความเร็ว พุ่งชนเข้ากลางลำรถพ่วง เหตุเกิดบนถนนสมุทรสงครามบางแพ บริเวณจุดกลับรถหน้าโรงบรรจุแก๊สหุงต้ม ฝั่งขาเข้าแม่กลอง ม.9 ต.บางช้าง อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ช่วงเวลา 19.18 น.วานนี้ (12 ก.ค.) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อัมพวา รับแจ้ง จึงเข้าตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัย ที่เกิดเหตุพบนายชาญพินิต ส่งชัย อายุ 71 ปี ชาวกรุงเทพมหานคร คาดเข็มขัดนิรภัย นั่งหมดสติไม่รู้สึกตัวบนเบาะคนขับ เจ้าหน้าที่ต้องใช้อุปกรณ์ตัดถ่างประมาณ 5 นาที กว่าจะนำร่างนายชาญพินิต ออกมาและพยายามปั๊มหัวใจช่วยชีวิต แต่นายชาญพินิต เสียชีวิตแล้ว ใกล้กันพบรถพ่วง 22 ล้อ ลูกพ่วงไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จอดขวางถนนในลักษณะกำลังกลับรถ บริเวณล้อหลังรถพ่วงมี 3 เพลา รวม 12 ล้อ […]

เตรียมขอข้อมูลเส้นทางการเงิน 4 วัดดัง

13 ก.ค. – ตำรวจเตรียมขอข้อมูลเส้นทางการเงิน 4 วัดดัง เข้าข่ายยักยอกเงินวัด โอนให้สีกา ก. หรือไม่ พบเจ้าอาวาสหนึ่งใน 4 วัด โอนกว่า 1 ล้านบาท ความคืบหน้าการตรวจสอบเส้นทางการเงินของสีกา ก. จากข้อมูลการสืบสวน ตำรวจเตรียมขอความร่วมมือเข้าตรวจสอบวัดที่พบว่ามีความเกี่ยวข้อง 4 วัด ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด ได้แก่ วัดชูจิตธรรมาราม พระอารามหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา, วัดใหญ่จอมปราสาท จ.สมุทรสาคร, วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร และวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร กรุงเทพมหานคร ขอตรวจสอบเส้นทางการเงินของพระชั้นผู้ใหญ่และบัญชีวัด เพื่อหาข้อเท็จจริงว่าเงินที่โอนให้สีกา ก. เป็นเงินส่วนตัวหรือเงินวัด หลังพบว่าพระบางรูปที่มีความสัมพันธ์กับสีกา ก. รวบอำนาจการบริหารจัดการเงินของวัดเพื่อให้ทำธุรกรรมได้สะดวก โดยเฉพาะเจ้าอาวาสวัดใหญ่จอมปราสาท พบเส้นทางการเงินโอนให้สีกา ก. 2 บัญชี เป็นเงินกว่า 1 ล้านบาท ส่วนพระรูปอื่นๆ ที่คาดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องยังอยู่ระหว่างตรวจสอบ ส่วนสีกา ก. จะมีเจตนาในการข่มขู่รีดไถเงินจากพระหรือไม่ ทางการสอบสวนยังไม่พบหลักฐานชัดเจนเพราะเป็นรสนิยมส่วนตัว โดยพุ่งเป้าเข้าหาพระชั้นผู้ใหญ่ เพื่อมีความสัมพันธ์และนำเงินมาใช้ส่วนตัว […]

รัฐผ่อนปรนรถบัสสองชั้น 6 เส้นทางเสี่ยง เริ่ม 21 ก.ค.นี้

ทำเนียบ 13 ก.ค.-รัฐผ่อนปรนรถบัสสองชั้น 6 เส้นทางเสี่ยง เริ่ม 21 ก.ค.นี้ พร้อมคุมเข้มมาตรฐานความปลอดภัยทุกขั้นตอน เพื่อความปลอดภัยของประชาชน นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า รัฐบาลโดยกรมขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม ได้มีการผ่อนปรนให้รถโดยสารสองชั้นสามารถวิ่งใน 6 เส้นทางได้เป็นการชั่วคราว เป็นระยะเวลา 180 วัน โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป ดังนี้ 1.ทางหลวงหมายเลข 4 ช่วงเขาพับผ้า-พัทลุง 2.ทางหลวงหมายเลข 103 ช่วงแม่ยางฮ่อ-แม่ตีบ 3.ทางหลวงหมายเลข 118 ช่วงเชียงใหม่-ดอยนางแก้ว 4.ทางหลวงหมายเลข 2013 ช่วงบ่อโพธิ์-โคกงาม 5.ทางหลวงหมายเลข 2331 ช่วงโจ๊ะโหวะ-อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า และ 6.ทางหลวงหมายเลข 1256 ช่วงปัว- อุทยานแห่งชาติดอยภูคา โดยผู้ประกอบการที่ประสงค์จะเดินรถโดยสารสองชั้น ในเส้นทางผ่อนปรนดังกล่าว จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขอย่างเคร่งครัด ดังนี้ 1.นำรถเข้ารับการตรวจสภาพ (Recall) ณ […]

เตือนฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง

กทม. 13 ก.ค.-กรมอุตุฯ เตือนฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง โดยเฉพาะภาคเหนือ จ.แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง พะเยา น่าน หนองคาย และบึงกาฬ ระวังน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศฉบับที่ 6 เรื่อง ฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณประเทศไทยและคลื่นลมแรงบริเวณทะเลอันดามันตอนบน (มีผลกระทบในช่วงวันที่ 12-13 กรกฎาคม 2568) ในวันที่ 13 กรกฎาคม 2568 ประเทศไทยมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งโดยเฉพาะภาคเหนือบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง พะเยา น่าน หนองคาย และบึงกาฬ เนื่องจากมีร่องมรสุมพาดผ่านประเทศเมียนมาตอนบน ภาคเหนือตอนบน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณภาคเหนือตอนบน ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง และเส้นทางที่มีปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำ ซึ่งอาจเกิดน้ำท่วมขังในระยะสั้นได้ จังหวัดที่คาดว่าจะมีฝนตกหนักถึงหนักมาก มีดังนี้ ในวันที่ 13 กรกฎาคม […]