ไทเป 21 ส.ค. – ไต้หวันวางแผนที่จะเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศในปีหน้าถึงหนึ่งในห้า ทำให้สัดส่วนงบประมาณด้านนี้เกินร้อยละ 3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพี (GDP) โดยจะทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อจัดซื้อยุทโธปกรณ์ใหม่ เพื่อรับมือกับจีนได้ดียิ่งขึ้น และแสดงให้สหรัฐเห็นว่าไต้หวันให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกองทัพของตนเอง
ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นในขณะที่จีน ซึ่งถือว่าไต้หวันที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของตน ได้เพิ่มแรงกดดันทางการทหารและการเมืองในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เพื่อยืนยันการอ้างสิทธิ์ ซึ่งไต้หวันปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง
นายกรัฐมนตรีโช จุงไถ่ (Cho Jung-tai) กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า งบประมาณกลาโหมปี 2026 จะสูงถึง 9.495 แสนล้านดอลลาร์ไต้หวัน (ประมาณ 1.02 ล้านล้านบาท) ซึ่งคิดเป็นร้อยละะ 3.32 ของจีดีพี ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ตัวเลขนี้ทะลุเกินร้อยละ 3 ตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา
เขากล่าวเสริมว่า ไต้หวันกำลังดำเนินการตามแบบจำลองขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ นาโต ซึ่งรวมถึงการใช้งบประมาณสำหรับหน่วยยามฝั่งและทหารผ่านศึกไว้ในค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศทั้งหมดด้วย แผนการใช้จ่ายครอบคลุมการจัดหาเครื่องบินรบใหม่และการเสริมสร้างการป้องกันทางทะเล ซึ่งเป็นสิ่งที่กระทรวงกลาโหมคาดว่าจะเสนอต่อรัฐสภาในสมัยประชุมที่กำลังจะมาถึงนี้
เจ้าหน้าที่อาวุโสสองรายที่ได้รับทราบข้อมูลเรื่องนี้กล่าวกับรอยเตอร์โดยไม่เปิดเผยนามว่า ไต้หวันได้รวมการใช้งบประมาณสำหรับหน่วยยามฝั่งไว้ในงบประมาณกลาโหมโดยรวมเป็นครั้งแรก เนื่องจากเห็นว่า หน่วยยามฝั่งเป็นแนวหน้าที่จะต้องเผชิญหน้ากับหน่วยยามฝั่งของจีนอยู่เป็นประจำ และในยามสงคราม จะถูกผนวกรวมเข้ากับกองทัพเรือเพื่อป้องกันไต้หวัน
รัฐบาลไต้หวันได้กำหนดให้การปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัยเป็นนโยบายหลัก และได้ให้คำมั่นที่จะใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อพิจารณาจากภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นจากจีน รวมถึงการพัฒนากองเรือดำน้ำที่ผลิตในไต้หวัน กองทัพอากาศของจีนบินปฏิบัติภารกิจใกล้ไต้หวันเกือบทุกวัน และจัดการซ้อมรบเป็นระยะ ซึ่งครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในเดือนเมษายน นอกจากนี้ จีนยังเร่งปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัยอย่างรวดเร็ว ด้วยการสร้างเรือบรรทุกเครื่องบิน เครื่องบินรบล่องหน และขีปนาวุธใหม่ ๆ.-813.-สำนักข่าวไทย