ดินแดง 24 ก.ย. – “ชัยธวัช” เดินหน้า 4 ยุทธศาสตร์ 2 ภารกิจ นำทัพ “ก้าวไกล” เร่งขยายฐานสมาชิก ทำงานให้เข้มแข็งขึ้น ย้ำการเมืองหลังจากนี้เป็นการต่อสู้ของการเมืองชนชั้นนำการเลือกตั้ง-การเมืองภาคประชาชน บอกปัญหาการเมืองไทยแก้ไม่ได้ เพราะอนุญาตให้มีการรัฐประหาร ไม่ถือเป็นการล้มล้างการปกครอง มองกลับถ้าโพสต์เฟซบุ๊กแบบที่ผู้มีอำนาจไม่อยากเห็น อาจจะต้องติดคุกเป็นสิบปี หรืออาจถูกตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต
นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวบนเวทีในกิจกรรม “ก้าวต่อไป ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน” ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) ดินแดง ว่า นี่คือประชุมสมาชิกพรรคของพรรคก้าวไกลที่ใหญ่ที่สุดที่ทำมา ซึ่งจะเป็นทิศทางที่สำคัญที่ทำให้พรรคก้าวไกลมีประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากที่สุด
วันนี้ตนมายืนแทน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แต่ตนอยากจะประกาศในฐานะเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ว่า แม้ว่าหัวหน้าพรรคก้าวไกลจะเปลี่ยนไป แต่ว่าที่นายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกลจะไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงเป็น พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ คนเดิม วันนี้ในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกลคนใหม่ จึงอยากพูดถึงเส้นทางทางการเมืองของพรรคและบทใหม่ของการเมืองไทย
มีหลายคนที่บอกว่า มีการเปลี่ยนจากระบอบเผด็จการ สู่ระบอบประชาธิปไตย ตนคิดว่า ก็คงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเราเห็นการจัดตั้งรัฐบาลที่ไม่เคารพเสียงของประชาชน และปัญหาการเมืองไทย ประการที่ 2 คือ รัฐรวมศูนย์ เป็นระบบปิดกั้นการเมืองไทย เต็มไปด้วยการทุจริต ไม่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน ซึ่งเรื่องการกระจายอำนาจรัฐบาลนี้ คือ การกระจายอำนาจแบบผู้ว่า CEO และเราเห็นทุนผูกขาดแล้ว รวมถึงปัญหาการเมืองเรื่องนิติรัฐแบบอภิสิทธิ์ชน ที่กฎหมายไม่เป็นกฎหมาย ความเสมอภาคต่อกฎหมายไม่มีอยู่จริง ระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม มีไว้เพื่อพิทักษ์รักษารับใช้คนบางกลุ่ม ไม่ได้มีเป้าหมายพิทักษ์คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของทุกคน และถ้าต้องการความเป็นธรรมในประเทศนี้ อย่าหาความยุติธรรมแบบสากล แต่จงสยบยอม ยอมรับ ในแบบอภิสิทธิ์ชนของไทย เมื่อยอมรับก้มหัว ท่านจะได้ความกรุณาปรานี
“ซึ่งปัญหาเหล่านี้ของการเมืองไทย เราแก้ไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาการเมืองไทยเป็นการเมืองของชนชั้นนำ ที่อนุญาตให้มีการรัฐประหารได้ตลอดเวลา ถ้าเอารถถังมายึดอำนาจ ไม่ถือเป็นการล้มล้างการปกครอง แต่ถ้าโพสต์เฟซบุ๊กแบบที่ผู้มีอำนาจไม่อยากเห็น ไม่อยากได้ยิน อาจจะต้องติดคุกเป็นสิบปี หรือไม่ก็อาจจะต้องถูกตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต” นายชัยธวัช กล่าว
นายชัยธวัช กล่าวต่อว่า การเมืองไทยคือการเมืองที่อนุญาตให้ไปเลือกตั้งได้เป็นพักๆ แต่ไม่ยอมให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาขน แบบนี้ตนขอเรียกว่า ‘ระบอบประชาธิปไตยอันมีประชาชนเป็นไม้ประดับ’ และการเมืองของชนชั้นนำเป็นการเมืองที่อนุญาตให้แข่งขันกันได้ในระบบการเลือกตั้ง เป็นการแข่งขันกันไปมีอำนาจ และผลัดกันไปแบ่งสันปันส่วนในตำแหน่งและเก้าอี้ แต่การเมืองชนชั้นนำไม่ได้แข่งขันไปเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมไทยแบบเดิมๆ
“หลายคนอาจจะบอกว่า อย่าคิดอะไรมาก เรามาอาศัยเขาอยู่ ดังนั้น จงเชื่อว่าประชาชนไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลง จนกว่าเจ้าของบ้านตัวจริงจะอนุญาต” นายชัยธวัช กล่าว
ดังนั้น สิ่งที่ตนอยากจะบอก คือ การพยายามออกจากการเมืองของชนชั้นนำแบบเดิม กลายเป็นโจทย์สำคัญของยุคสมัยที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไปแล้ว หลังวิกฤติต้มยำกุ้ง มีความพยายามปฏิรูปสังคมไทยครั้งใหญ่ มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ การต่อสู้ของชนชั้นนำทางการเมือง 2 กลุ่ม ทำให้เกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ หลายคนล้มตาย หลายคนถูกดำเนินคดี แต่ก็มีอีกสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น ทำให้เกิดสำนึกใหม่ในหมู่ประชาชน ประชาชนจำนวนมากต้องการการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และต้องการให้เกิดการปฏิรูปประเทศ นี่จึงเป็นสำนึกใหม่ที่เกิดขึ้นมา และเมื่อต่อสู้กันมาเกือบ 20 ปี ก็กลับมาจับมือกัน และพวกเขาค้นพบอันตรายจากชนชั้นนำ คือ สำนึกใหม่
ทั้งนี้ ภัยคุกคามการเมืองชนชั้นนำ คือ การเมืองของประชาชน ดังนั้น ตนอยากจะบอกว่า ในสถานการณ์ในปัจจุบัน สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นไม่ใช่การเปลี่ยนผ่านจากเผด็จการประชาธิปไตย แต่เป็นการเปลี่ยนผ่านของชนชั้นนำแบบจารีตกับชนชั้นนำแบบเลือกตั้ง เปลี่ยนผ่านการต่อสู้เป็นการเมืองของชนชั้นนำแบบการเลือกตั้ง กับการเมืองของประชาชน และนี่คือรากฐานทางการเมืองของรัฐบาลปัจจุบัน จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเมืองไทยบทใหม่นับจากนี้ต่อไป
นายชัยธวัช ยังกล่าวอีกว่า ตนในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล อยากจะบอกว่า เป้าหมายสำคัญของพรรคก้าวไกล คือ เราต้องผลักดัน ต้องเปลี่ยนแปลง สิ่งที่การเมืองของชนชั้นนำบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ให้เป็นสิ่งที่สังคมไทยปฏิเสธไม่ได้อีกต่อไป ภายใต้เป้าหมายนี้ พรรคก้าวไกลจะมียุทธศาสตร์สำคัญ 4 ด้าน มีภารกิจเฉพาะหน้า 2 ภารกิจ คือ สร้างพรรคก้าวไกลให้เข้มแข็ง เป็นสถาบันทางการเมืองจริงๆ ให้ได้ และงานในวันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้น จึงอยากเชิญชวนให้ช่วยกันขยายสมาชิกพรรค ช่วยกันขยายการมีส่วนร่วมของประชาชน และช่วยกันปักธงทางความคิด ทำพรรคก้าวไกลให้พร้อมกันเปลี่ยนแปลงเมื่อช่วงของการเปลี่ยนแปลงมาถึง
ยุทธศาสตร์ที่ 2 คือ ฝ่ายค้านในสภาฯ ที่จะต้องทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหาร ตนในฐานะหัวหน้าพรรคนใหม่ ให้สัญญาว่าจะทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหารอย่างตรงไปตรงมา ไม่เกรงใจใครอย่างที่เคยพิสูจน์ ดุดันด้วยเนื้อหา
ยุทธศาสตร์ด้านที่ 3 คือ ฝ่ายค้านเชิงรุก เรื่องนี้ตนขออนุญาตให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล มาอธิบาย
ยุทธศาสตร์ที่ 4 คือ ตรึงพื้นที่เก่า รุกพื้นที่ใหม่ พื้นที่ไหนประชาชนให้ความไว้วางใจ ก็จะต้องเร่งทำงานเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า เราทำงานไม่เหมือนใคร สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างไร นี่คือสิ่งที่ต้องช่วยกันทำ ส่วนพื้นที่ไหนที่ยังไม่ชนะการเลือกตั้ง ก็ขอเชิญชวนให้ทำพรรคให้เข้มแข็งขึ้น และช่วยกันเฟ้นหาสภาผู้แทนราษฎรของทุกคน
โดยหลังจากนี้ พรรคก้าวไกลจะสร้างกลไกให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการสรรหา ท้องถิ่นทุกระดับ เป้าหมายไม่ใช่การสร้างหัวคะแนนในการเลือกตั้งใหญ่ แต่ต้องการผลักดันการกระจายอำนาจในการรวมศูนย์
และภารกิจสุดท้าย คือ ร่วมกันผลักดันให้ได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มาจากประชาชน จึงอยากให้ช่วยกันรณรงค์เรียกร้องทำประชามติว่าต้องการให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับหรือไม่ และ ส.ส.ร. ต้องมาจากประชาชนทั้งหมด
นายชัยธวัช ยังกล่าวอีกว่า ที่ตนพูดมาทั้งหมด ตนทราบดีว่า หลายคนเสียใจ หลายคนสิ้นหวัง หลายคนเสียน้ำตา เพราะพรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งมา แต่ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ตนอยากจะบอกว่า นับจากนี้ขอให้เอาน้ำตา เอาความเสียใจไว้ข้างหลัง และไม่มีอะไรที่จะต้องเสียใจอีกต่อไป วันนี้พวกเราช่วยกันสร้างความเปลี่ยนแปลงมากขนาดไหน ดังนั้นจึงต้องจับมือสร้างความเปลี่ยนแปลง บรรลุเป้าหมายร่วมกัน ก้าวต่อไป ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน. – สำนักข่าวไทย