แถลงจุดยืนหลัง 44 อดีต สส.ก้าวไกล ถูกเรียกรับทราบข้อกล่าวหา

พรรคประชาชน 18 ก.พ.- “เท้ง” นำ 44 อดีต สส.ก้าวไกล แถลงจุดยืนหลังถูกเรียกรับทราบข้อกล่าวหาผิดจริยธรรม เตรียมขอขยายเวลา อ้างติดเตรียมข้อมูลอภิปราย เชื่อเป็นการเมืองแน่ เล็งไม่นิ่งเฉยกรณีประธาน ป.ป.ช. ดอดพบประธานสภา


นายณัฐพงศ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชน แถลงจุดยืนต่อกรณีที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งหนังสือให้อดีต 44 สส.พรรคก้าวไกล ที่เคยลงชื่อเสนอร่างกฎหมายแก้ไขความผิดคดี ม.112 ไปรับทราบข้อกล่าวหา โดยยืนยันการทำหน้าที่ของพวกตนทุกคนในการยื่นร่างแก้ไขกฎหมาย เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ตามกระบวนการ นิติบัญญัติ ไม่ควรที่จะต้องผิดกฎหมายข้อหนึ่งข้อใดเลย ไม่ควรจะต้องถูกร้องเป็นเรื่องของความผิดจริยธรรมร้ายแรง ดังนั้นพวกตนยืนยันที่จะเดินหน้าต่อ และช่วงนี้อยู่ในช่วงของการเตรียมการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล และกรณีนี้มีกรอบเวลา 15 วัน ดังนั้นหลังจากนี้จะขอใช้การขยายกรอบเวลาออไปก่อน และหลังจากรับทราบข้อกล่าวหาของป.ป.ช.ในเบื้องต้นแล่วอย่างน้อยเพื่อให้พวกเราสามารถรับทราบรายละเอียดข้อกล่าวหาของป.ป.ช.รวมถึงพยานหลักฐานที่ทางป.ป.ช ได้รวบรวมมาก่อน และขอยืนยันพวกเราไม่ได้มีความเสียสมาธิใดๆ และคดีนี้ไม่ส่งผลกระทบกับพวกเราใด ๆ ทั้งสิ้น ยังยืนเดินหน้าทำงาน เพื่อพี่น้องประชาชนต่อไป

นายณัฐพงษ์ กล่าวว่าขณะนี้ทุกคนได้ เตรียมแก้ข้อกล่าวหาแล้ว เบื้องต้นแล้วทราบมาว่าคดีนี้ไม่ใช่คดีชุด ดูตามความผิดที่เขากล่าวหาเราเป็นรายบุคคล ดังนั้นในตัวคดีดังกล่าว เราเตรียมทีมกฎหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่จะแก้ข้อกล่าวหาใดๆ ก็ตามที่ดูเป็นรายบุคคล ไม่ยอมที่จะให้ป.ป.ช. มัดมารวมทำเป็นคดีกลุ่มที่จะมาเป็นกระบวนการ จึงอยากให้ใช้มาตรฐานเดียวกัน หากย้อนกลับไปดูหลายกรณี ใช้เวลาการฟ้องร้องเป็นรายบุคคลใช้เวลาหลายส่วนเป็นปี ก่อนที่ป.ป.ช.จะยื่นไปศาลฎีกา เราไม่อยากให้ป.ป.ช.มีหลายมาตรฐาน ไม่อยากให้คดีนี้ เร่งรัดจนผีดสังเกต


ทั้งนี้การเข้าชี้แจงข้อกล่าวหามีการแบ่งไว้แล้ว แต่จะเป็นใครบ้างนั้นยังไม่เปิดเผย เพราะเกรงว่าจะกระทบต่อการทำงาน ยืนยันชุดใหญ่หลายสิบคน แต่เป็นใครบ้างยังไม่ขอเปิดเผย แต่สิ่งที่พวกเราทำได้คือการเดินหน้าทำงานอย่างเต็มที่ และเชื่อมั่นว่าเพื่อนสมาชิกรวมทั้งเพื่อนส.ส.คนอื่นสามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ทั้งในและนอกสภา ดังนั้นสิ่งที่ทำอยู่ยืนยันไม่เสียสมาธิ ต่อการฟ้องร้องดำเนินคดีในลักษณะนี้เดินหน้าทำงานต่อ สุดท้ายเสียงของประชาชน ก็จะเป็นคนที่สนับสนุนเราต่อไป

“ยืนยันไม่น่าส่งผลกระทบใด ๆ ต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะเราจะขยายสิทธิเวลาในการรับทราบข้อกล่าวหาเพราะเรามีภารกิจสำคัญในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคมนี้” นายณัฐพงษ์ กล่าว

เมื่อถามว่าได้วางแผนรองรับอย่างไร หากเกิดผลในทางลบ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตรงนั้นเป็นเรื่องในอนาคตที่เราต้องดูก่อน ถ้าเกิดเคสกรณีแบบนั้นจริงๆ คิดว่าไม่กระทบต่อการทำงานใด ๆ และการความเป็นสภาผู้แทนราษฎรไม่ใช่ทำงานแค่ในสภาอย่างเดียว แต่เราสามารถทำงานเพื่อประชาชน ดำรงตำแหน่งที่ไหนก็ได้ แต่ยังไม่ขอตอบล่วงหน้าเร็วเกินไป เพราะยังไม่ได้รับทราบ ข้อกล่าวหาของป.ป.ช.รวมทั้งพยานหลักฐานที่มีอยู่เมื่อถามว่า มองเป็นประเด็นการเมือง หรือไม่ นายณัฐพงศ์กล่าวว่าหลายคนมีการตั้งข้อสงสัยว่าเกี่ยวข้องอะไรกันหรือไม่กับกรณีที่เกิดขึ้น ตัวประธานเอง เกี่ยวข้องไหมกับการที่มีการยื่นหนังสือเร็วๆนี้ คิดว่าสามารถประเมินได้ แต่ไม่อยากให้เป็นเรื่องของการคาดเดา ขอดูข้อเท็จจริงก่อนว่าเป็นอย่างไร


ประเด็นเรื่องนี้เป็นประเด็นที่ค่อนข้างใหญ่และตนในฐานะสส.ฝ่ายค้าน ไม่สามารถที่จะนิ่งเฉยต่อกรณีนี้ได้ ซึ่งวาระที่ประชุมสส.วันนี้ จะหารือเรื่องนี้อยู่ และเชื่อมั่นว่า เพื่อนสมาชิกของพรรคประชาชนทุกคนจะเห็นด้วยในหลักการส่วนจะดำเนินการอย่างไรตามข้อกฎหมายที่มีอยู่ ซึ่งมีอยู่หลายช่องทาง ขอรอหารือในที่ประชุมสส. ก่อน แต่หลักฐานที่เห็นชัด ก็คือมีการเข้าชื่อเพื่อร้องเรียนต่อตัวประธานป.ป.ช. และการที่ไปพบประธานรัฐสภา ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในกระบวนการร้องเรียนต่างๆ อยู่ขณะนี้ ถือเป็นสิ่งที่เป็นผลประโยชน์ทับซ้อน หรือพูดง่ายๆว่าเข้าไป”วิ่ง”เพื่อเป่าคดีหรือไม่ ซึ่งลักษณะเช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้น ดังนั้นก็สรุปอย่างที่ตนได้บอกไปว่า พวกเราในฐานะพรรคฝ่ายค้านคงไม่นิ่งเฉยต่อกรณีดังกล่าว

สำหรับมีคนจากพรรคประชาชนไปเป็นพยาน 4คนนั้น นายณัฐพงศ์ กล่าวว่ เราไม่ขอเปิดเผยรายชื่อและถือเป็นเอกสิทธิ์ของแต่ละคน ยังไม่ขอให้รายละเอียดขอรับทราบข้อกล่าวหาจากป.ป.ช. ก่อนจะได้รู้ถึงหลักฐานต่างๆ ที่มี และไม่คิดว่าเกี่ยวข้องกับการ “ลอยแพ” หรือไม่ลอยแพพรรค เพราะเอกสิทธิ์ที่จะให้ปากคำ หรือกล่าวหา อยู่ที่ตัวพวกเขาเอง สุดท้ายเราก็รู้กันอยู่ว่าคดีนี้เป็นคดีทางการเมือง ซึ่งประชาชนที่กำลังเฝ้ามองอยู่ ก็จะตัดสินได้เองว่าใครที่อยู่ข้างประชาชนมากที่สุด และยืนยันว่าเราดำเนินการโดยอาศัยอำนาจนิติบัญญัติที่ฟ้องร้องว่าเราผิดจริยธรรมร้ายแรงนั้นไม่ควรเกิดขึ้น และมองว่าตัวปัญหาคือง รัฐธรรมนูญ จึงให้ความสำคัญกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ก็รู้สึกเสียดายว่าการประชุมร่วมรัฐสภาที่ผ่านมาประชุมล่ม ไม่สามารถแก้ไขได้ หากเป็นเช่นนี้ปัญหาการฟ้องร้องทางจริยธรรมให้นักการเมืองหลุดออกจากตำแหน่งก็ยังคงมีอยู่ต่อไป.-312 -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

รวบแล้ว! โจรบุกเดี่ยวชิงทอง 163 บาท กลางห้างย่านบางบ่อ

สมุทรปราการ 20 ส.ค. – หนีไม่รอด รวบโจรสวมชุดไรเดอร์ บุกเดี่ยวชิงทองกลางห้างดัง จ.สมุทรปราการ กวาดทอง 163 บาท พบของกลางบางส่วนซุกตู้ลำโพงในบ้าน จากกรณีคนร้ายแต่งตัวคล้ายไรเดอร์ สวมหมวกกันน็อกเต็มใบ สะพายกระเป๋าข้าง บุกเข้าไปในร้านทอง พร้อมใช้อาวุธปืนข่มขู่พนักงาน ก่อนกระโดดข้ามตู้หน้าร้าน กวาดสร้อยคอและสร้อยข้อมือทองคำ น้ำหนักรวม 163 บาท เป็นทองคำรูปพรรณประเภทสร้อยข้อมือ หนัก 5 บาท ประมาณ 5 เส้น น้ำหนัก 25 บาท, น้ำหนัก 3 บาท ประมาณ 30 เส้น น้ำหนักรวม 90 บาท, หนัก 2 บาท ประมาณ 24 เส้น น้ำหนักรวม 48 บาท (รวมสร้อยข้อมือ 79 เส้น) ก่อนวิ่งขึ้นรถ จยย.ที่จอดอยู่ด้านหน้า […]

หลักฐานชัด! ทหารกัมพูชาลอบวางทุ่น PMN-2 ภูมะเขือ

19 ส.ค.- กองทัพเรือพบหลักฐานสำคัญ ยืนยันทหารกัมพูชาลักลอบใช้ทุ่นระเบิด PMN-2 บริเวณภูมะเขือ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ชุดเก็บกู้กวาดล้างที่ 1 หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมกองทัพเรือ (นปท.ทร.) ซึ่งสนับสนุนการปฏิบัติงานเก็บกู้และกวาดล้างทุ่นระเบิดในพื้นที่ภูมะเขือ จังหวัดศรีสะเกษ ร้อย ร.132 พัน.13 (ฐานเหนือเมฆ) ตรวจพบโทรศัพท์มือถือของทหารกัมพูชาที่ทิ้งไว้ในพื้นที่ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบภายในเครื่อง พบคลิปวิดีโอและภาพถ่ายที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ทหารกัมพูชากำลังถือทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 พร้อมทั้งมีการบันทึกเสียงเป็นภาษาเขมร คาดว่าเป็นการสาธิตวิธีการใช้งาน ก่อนนำไปลักลอบฝังในพื้นที่ชายแดนไทย หลักฐานจากโทรศัพท์ยังระบุวันเวลาที่ถ่ายภาพและวิดีโอไว้อย่างชัดเจน จึงนับเป็นพยานหลักฐานสำคัญที่ยืนยันพฤติกรรมการละเมิดข้อตกลง และการใช้ทุ่นระเบิด ซึ่งขัดต่ออนุสัญญาระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ นปท.ทร. ได้แสดงถึงความรอบคอบและไหวพริบในการตรวจสอบหลักฐานทันที ก่อนส่งมอบให้หน่วยกองทัพบกในพื้นที่ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป. – สำนักข่าวไทย

“ทศพล” รุดมอบมาลัย “ภูมิธรรม” หลัง ครม.ชงนั่งผู้ว่าฯ เชียงใหม่

กองบินตำรวจ 20 ส.ค.-“ภูมิธรรม” เตรียมแถลงจับยาเสพติดลอตใหญ่ “ทศพล” รุดมอบมาลัย หลัง ครม.ชงนั่งผู้ว่าฯ เชียงใหม่ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเวลา 8.00 น. ที่กองบินตำรวจ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เดินทางมาขึ้นเครื่อง เพื่อไปแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดล็อตใหญ่ ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พลตํารวจโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร อธิบดีกรมการปกครอง นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ เลขานุการ รมว.มหาดไทย ร่วมเดินทางด้วย ทั้งนี้เมื่อนายภูมิธรรมเดินทางมาถึง นายทศพล เผื่อนอุดม ผู้ตรวจราชการ กระทรวงมหาดไทย ที่ ครม. มีมติเมื่อ 19 ส.ค. แต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้นำพวงมาลัยมามอบให้นายภูมิธรรมและปลัดกระทรวงมหาดไทย และร่วมเดินทางกับคณะด้วย โดยมีสีหน้ายิ้มแย้ม อย่างไรก็ตามก่อนเดินทางเลขาธิการ ป.ป.ส. ได้รายงานสถานการณ์ยาเสพติดให้นายภูมิธรรมรับทราบ.-319.-สำนักข่าวไทย

มท.ชง ครม.แต่งตั้งโยกย้ายบิ๊กลอต 25 ตำแหน่ง

กทม.19ส.ค.-มท.ชง ครม.แต่งตั้งโยกย้ายบิ๊กลอต 25 ตำแหน่ง ผู้ว่าฯ หนองบัวลำพู ผงาดขึ้นอธิบดี พช. โยก “สยาม” นั่งพ่อเมืองปากน้ำ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำแหน่งบริหารระดับสูงให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 25 ตำแหน่ง อาทิ นายสยาม ศิริมงคล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เป็นผู้ว่าฯ สมุทรปราการ นายจุมพฎ วรรณฉัตรสิริ ผู้ว่าฯ บึงกาฬ เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าฯ ตาก เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายสุรศักดิ์ อักษรกุล ผู้ว่าฯ หนองบัวลำภู เป็นอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายนริศ นิรามัยวงศ์ ผู้ว่าฯ สมุทรสาคร เป็นผู้ว่าฯ ชลบุรี นายทศพล เผื่อนอุดม ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ว่าฯ เชียงใหม่ ว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าฯ […]

ข่าวแนะนำ

EOD เก็บกู้ทำลายระเบิด M33 กลางบ้าน

ตรัง 20 ส.ค.- คนร้ายลอบขว้างระเบิด M33 ใส่บ้านในพื้นที่ ต.โพรงจระเข้ อ.ย่านตาขาว จ.ตรัง ระเบิดทำงาน 1 ลูก อีก 1 ลูกไม่ทำงาน เจ้าหน้าที่ EOD เข้าเก็บกู้ทำลายเสียงดังสนั่น เร่งสืบสวนหาตัวคนร้าย-สอบปมเหตุ เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด EOD จังหวัดตรัง ได้ทำการเก็บกู้และทำลายระเบิด M33 ที่ยังไม่ทำงาน ระหว่างทำลายเกิดเสียงดังสนั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ ยางรถยนต์ที่ใช้เป็นอุปกรณ์ป้องกันแรงระเบิดปลิวลอยขึ้นฟ้า ควันฟุ้งกระจายไปทั่ว สร้างความแตกตื่นให้กับชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียง  โดยเหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นในพื้นที่บ้านยูงงาม ต.โพรงจระเข้ อ.ย่านตาขาว เมื่อกลางดึกที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งเหตุคนร้ายลอบขว้างระเบิดเข้าใส่บ้านหลังหนึ่ง ต.โพรงจระเข้ อ.ย่านตาขาว จึงนำกำลังเข้าตรวจสอบ เจ้าของบ้านเล่าว่าช่วงเกิดเหตุคนในบ้านกำลังนอนหลับ ได้ยินเสียงดังคล้ายระเบิด 1 ครั้ง แต่ไม่กล้าออกมาดู กระทั่งเช้าพบหลุมระเบิดขนาดกว้างราว 2 ฟุต ลึก 1 ฟุต อยู่ข้างบ้าน จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ จากการตรวจสอบ เจ้าหน้าที่ทราบว่าบ้านหลังนี้เคยถูกลอบยิงมาแล้วหลายครั้ง จนเจ้าของบ้านต้องสร้างกำแพงสูงเพื่อป้องกัน แต่ล่าสุดกลับถูกลอบขว้างระเบิดแบบลูกเกลี้ยง […]

ทำแผนโจรชิงทอง 123 บาท สารภาพเป็นหนี้นอกระบบ

สมุทรปราการ 20 ส.ค.- โจรชิงทองกลางห้างดังสมุทรปราการ 123 บาท ทำแผนรับสารภาพกู้เงินมาลงทุนร้านซ่อมรถ เสียดอกรายวันแต่หมุนเงินไม่ทัน จึงก่อเหตุ  กรณีนายวีรวัฒน์ อายุ 31 ปี บุกเดี่ยวควงปืนก่อเหตุชิงทองรูปพรรณน้ำหนัก 123 บาท มูลค่ากว่า 6 ล้านบาท ที่ร้านทองภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ  ก่อนจะอาศัยความชำนาญในพื้นที่หลบหนีเส้นทางที่ไร้กล้องวงจรปิด โดยเหตุเกิดช่วงเย็นวันที่ 14 ส.ค. ที่ผ่านมา ต่อมา ชุดสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ พบว่าผู้ต้องหานำรถจักรยานยนต์ที่ใช้หลบหนีไปทิ้งบ่อปลาแห่งหนึ่งในซอยวัดคอลาด แล้วหลบหนีต่อไป จึงไล่เรียงเบาะแสจนพบหลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านพัก เมื่อวาน (19 ส.ค.) จึงนำหมายค้นบ้านนายวีรวัฒน์ พร้อมแสดงตัวเข้าจับกุม พร้อมกับของกลางทองรูปพรรณซุกซ่อนไว้ในตู้ลำโพงหน้าบ้าน และใส่ในถุงพลาสติกฝังดินใต้ต้นไม้ข้างบ้าน รวมตรวจยึดทองคืนได้ประมาณ 90 บาท ยังเหลือทองคำอีก 33 บาท อยู่ระหว่างสอบขยายผล  ผู้ต้องหาสารภาพว่า ก่อเหตุเพราะเป็นหนี้นอกระบบจากการกู้ยืมมาลงทุนร้านซ่อมรถและต้องเสียดอกเบี้ยเดือนละไม่ต่ำกว่า 50,000 บาท จึงหมุนเงินไม่ทัน จากนั้นคิดวางแผนในการก่อเหตุ ประมาณ 1 […]

บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงงบฯ 2.6 หมื่นล้าน กลับงบกลางฉุกเฉิน

ทำเนียบฯ 20 ส.ค.-บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงงบค้างท่อ 2.6 หมื่นล้าน กลับงบกลางฉุกเฉิน เน้นเศรษฐกิจชายแดน รองรับผลกระทบภาษี “ทรัมป์” และเหตุจำเป็น นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ (บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ) หลังจากรัฐบาลจัดสรรงบกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรก 1.15 แสนล้านบาท รอบสอง 1.8 หมื่นล้านบาท เพื่อจัดสรรเงินให้กับกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย 10,000 ล้านบาท และกองทุนเงินให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา (กยศ.) 8,488 ล้านบาท นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การจัดสรรให้กับหน่วยงานต่างๆ ในรอบแรกพบว่า มีหน่วยงานจัดซื้อจัดจ้างไม่ทัน จึงดึงงบกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหลือค้างท่อ 2.6 หมื่นล้านบาท กลับเข้ามาอยู่ในงบกลางสำรองฉุกเฉิน เพื่อนำมาพิจารณาใช้ในเรื่องจำเป็น เช่น การฟื้นเศรษฐกิจแดนไทย-กัมพูชา การใช้งบรองรับผลกระทบจากภาษีนำเข้าสหรัฐร้อยละ 19 ในบางรายการ หากส่วนราชการใดต้องการใช้งบดังกล่าว ต้องจัดซื้อจัดจ้างให้แล้วเสร็จภายใน 30 ก.ย.นี้ โดยสำนักงบประมาณจะพิจารณาในการจัดสรรงบให้ สำหรับผลกระทบจากภาษีศุลกากรสหรัฐ ยอมรับว่า รายย่อยที่ได้รับผลกระทบ […]