กรุงเทพฯ 23 ธ.ค. – ผบช.ก. เผยตำรวจ สน.พหลโยธิน แจ้งข้อหาผู้ร่วมขบวนการช่วย “ประสิทธิ์ เจียวก๊ก” หลบหนีในศาลแล้ว 1 คน เชื่อมีผู้ร่วมขบวนการอีก เร่งขยายผลจับกุม หลังมีการโอนสำนวนคดีมาสวบสวนต่อที่กองปราบปราม
พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่าวถึงกรณีที่นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก จำเลยคดีฉ้อโกงประชาชนจากการหลอกลงทุนธุรกิจต่าง ๆ และถูกตำรวจกองบังคับการปราบปรามดำเนินคดีฐานฉ้อโกงไปแล้ว 6 คดี และเมื่อวานนี้นายประสิทธิ์ มีความพยายามหลบหนีออกจากศาลอาญา เมื่อวานนี้ ว่าจากการสอบสวนหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิด คือนายสมประสงค์ อายุ 56 ปี ที่ได้ร่วมลงทุนกับนายประสิทธิ์ จำนวนกว่า 10 ล้านบาท ก่อนหน้านี้ และไม่ได้แจ้งความ เพราะเชื่อว่าหากคอยช่วยเหลือเรื่องคดีให้นายประสิทธิ์ จะได้รับเงินดังกล่าวคืน และผู้ร่วมขบวนการคนอื่น ๆ ยังเป็นกลุ่มอดีตพนักงาน กลุ่มเลขาฯ นายประสิทธิ์ กลุ่มผู้ช่วยทนายความให้การช่วยเหลือในวางแผนหลบหนีครั้งนี้ โดยเชื่อว่าที่ผ่านมามีการนัดแนะวางแผนการหลบหนี ในช่วงที่บุคคลเหล่านี้ไปเยี่ยมนายประสิทธิ์ ระหว่างที่อยู่ในเรือนจำ โดยมีการวางแผน 2 แผน แผนแรกคือนำชุดและกุญแจ ไปให้กับนายประสิทธิ์ ที่ศาลฯ จากนั้นก็จะใช้แผนสองคือ การหลบหนี การเตรียมชุดที่เหลือ เตรียมอาหาร รถยนต์ และบัตรประชาชนปลอม
โดยนายสมประสงค์ ทำหน้าที่ในการเตรียมอุปกรณ์ เบิกเงินถอนเงิน เป็นคนที่นำเสื้อผ้าและกุญแจไปให้นายประสิทธิ์ และหลังถูกจับ เจ้าหน้าที่ก็เจอชุดนักโทษของนายประสิทธิ์ รวมถึงโซ่ตรวจและกุญแจสำหรับไขอยู่ที่นายสมประสงค์ด้วย
เบื้องต้นตำรวจ สน.พหลโยธิน ได้แจ้งข้อหานายสมประสงค์ ฐานช่วยให้ผู้ที่ถูกคุมขังตามอำนาจศาลหลบหนี ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งมีโทษหนักกว่านายประสิทธิ์ ส่วนบุคคลที่เหลืออยู่ระหว่างดำเนินการสอบสวนขยายผล โดยขณะนี้สำนวนคดีอยู่ที่ สน.พหลโยธิน และอยู่ระหว่างประสานขอโอนคดีมาที่กองบังคับการปราบปรามเพราะเป็นคดีที่ซับซ้อน มีการวางแผนเป็นขั้นตอน และเกี่ยวพันกับคดีเดิมที่กองปราบปรามดำเนินการไว้
ส่วนจะมีเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่ ตำรวจอยู่ระหว่างการตรวจสอบขยายผลกุญแจที่นำมาไข มาจากไหน เพราะไม่ใช่กุญแจที่หาได้ทั่วไป และพฤติการณ์ตอนที่นายประสิทธิ์ออกมาจากห้องน้ำว่าผ่านเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่ยืนเฝ้าหน้าห้องน้ำมาได้อย่างไร นอกจากนี้ทางการข่าวของเจ้าหน้าที่ยังพบว่ามูลว่า ทีมงานของนายประสิทธิ์ ได้จ้างเพจเฟซบุ๊กเพจหนึ่งทำบัตรประชาชนปลอมให้กับนายประสิทธิ์ แต่กลับถูกเพจดังกล่าวโกงหลอกเอาเงิน และไม่ส่งบัตรประชาชนปลอมให้ ทำให้ทีมงานยังไม่ได้บัตรประชาชนปลอมดังกล่าวมาให้นายประสิทธิ์
ส่วนที่การตรวจค้นล็อกเกอร์ย่านสามย่านเมื่อคืนนี้ เป็นสถานที่ที่นายประสิทธิ์ ให้ลูกน้องนำของไปเก็บไว้ที่ล็อกเกอร์ กรณีที่หนีไปได้ก็จะไปเอาของในล็อกเกอร์ดังกล่าว เพื่อใช้ในการดำรงชีพหลังการหลบหนี แต่สุดท้ายทีมงานได้เอาของออกจากล็อกเกอร์ไปเก็บไว้ในรถแล้ว ซึ่งมีทั้งเสื้อผ้า สบู่ ยาสระผม รองเท้า วิกผม ฯลฯ รวม 53 รายการ ซึ่งเป็นไปได้ว่าเป็นการวางแผนให้นายประสิทธิ์ หลบหนีเพื่อให้ไปหาเงินมาคืนผู้เสียหายของคดีฉ้อโกง ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สมรู้ร่วมคิดที่ยังหวังว่าจะได้เงินคืน แต่อย่างไรก็ตามการช่วยนักโทษหลบหนี ก็ถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมาย ต้องถูกดำเนินคดี
สำหรับความคืบหน้าการดำเนินคดีนายประสิทธิ์ กองบังคับการปราบปรามได้ดำเนินคดีฉ้อโกงกับนายประสิทธิ์ 6 คดี สอบสวนเสร็จสิ้นแล้วทั้ง 6 คดี และอัยการสั่งฟ้องแล้ว 2 คดี ส่วน 5 คดี ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ส่งมาให้กองบังคับการปราบปรามอีก 5 คดี สอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว 4 คดี คาดว่าเดือนหน้าอีก 1 คดี ที่เหลือจะแล้วเสร็จ ส่วนการอายัดทรัพย์สินนายประสิทธิ์ เครือข่ายได้ส่งข้อมูลให้ ปปง. ยึดทรัพย์ 3 คำสั่ง รวม 265 บ้านบาท และล่าสุดกองบังคับการปราบปรามยังได้ส่งข้อมูลทรัพย์สินของผู้ถือหุ้น จำนวน 261 ล้านบาท ให้ ปปง. แล้ว อยู่ระหว่างดำเนินการยึดอายัดทรัพย์
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ผู้ร่วมกระบวนการ 2 ราย ที่ควบคุมตัวได้ในที่เกิดเหตุทันที ชื่อ นางสาวกัญญามาศ เป็นอดีตพนักงานบริษัทของนายประสิทธิ์ และเจ้าของรถที่ตำรวจตรวจค้นเนื่องจากสันนิษฐานว่ารถคันดังกล่าวจะไว้ให้นายประสิทธิ์ ใช้หลบหนี อีก 1 ราย คือนายณัฐนันท์ เป็นแฟนกับนางสาวกัญญามาศ ที่รับทราบเรื่องที่แฟนสาวทำ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า ผู้สมรู้ร่วมคิด 1 ราย คือนางสาววนัสนันท์ มีหลักฐานว่าอยู่ที่ศาลก่อนและขณะเกิดเหตุ แต่ช่วงที่ประสิทธิ์ ถูกจับกุมได้แล้วไม่ปรากฏในพื้นที่. -สำนักข่าวไทย