สผ.19 ม.ค.- พล.อ.ประวิตร ระบุแนวคิดสร้างปรองดอง ให้นักการเมืองร่วมพูดคุย อยู่กันอย่างสันติ ยืนยันทหารเป็นตัวกลาง ไม่อยากปฏิวัติ ถ้าบ้านเมืองเดินต่อได้ ไม่จำเป็นต้องลงสัตยาบันไม่ปฏิวัติ
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงแนวคิดการเชิญนักการเมืองมาปรึกษาหารือและมาลงสัตยาบันร่วมกันเพื่อสร้างความปรองดองและยุติความขัดแย้ง ว่า เพราะอยากให้พรรคการเมืองอยู่กันอย่างสันติ
ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยระบุว่า อยากให้ทหารลงนามเอ็มโอยูด้วยว่าจะไม่รัฐประหารอีก พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ทหารมีความเป็นกลาง ไม่มีความขัดแย้ง เช่นในสมัยของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ทำรัฐประหาร ไม่ได้อยู่ในความขัดแย้ง แต่อยากให้บ้านเมืองสงบ ไม่มีใครอยากจะปฏิวัติ
“ไม่ต้องไปเซ็นหรอก นอกจากบ้านเมืองไปไม่ได้แล้วและเกิดความขัดแย้งเท่านั้น ทหารจึงจะทำ พรรคเพื่อไทยคงคิดไปเองว่าทหารจะออกมาปฏิวัติ ผมอายุ 70 กว่าแล้ว อยู่มาตั้งแต่เด็ก ยืนยันได้ว่าไม่มีใครอยากปฏิวัติ คือถ้าจะปฏิวัติแล้วไม่มีประชาชนเอาด้วยก็ไม่มีทางทำได้เลย แต่ครั้งนี้ประชาชนเห็นชอบว่าเราจะเข้ามาทำให้เกิดความสงบ และเชื่อว่าทหารส่วนใหญ่คิดแบบนี้ ไม่มีใครที่อยากจะมายึดอำนาจ มามีอำนาจ ไม่เห็นมีอะไรดีเลย ใครอยากมาแทนผมก็มาเลยผมไม่ว่า” พล.อ.ประวิตร กล่าว
ส่วนคำถามจะให้ความั่นใจกับนักการเมืองที่จะมาคุยอย่างไร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ทหารจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย แต่จะทำหน้าที่รวบรวมความคิดเห็นจากพรรคการเมือง เพื่อทำข้อตกลงร่วมกัน ไม่มีระเบียบทางกฏหมายบังคับการคุย ถ้าคุยแล้วจะต้องออกมาเป็นระเบียบกฎหมายหรือพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) ค่อยว่ากัน อะไรที่ต้องใช้กฎหมายต้องไปดูและต้องใช้ตามนั้น
“หรืออาจจะออกเป็นมาตรา 44 ที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ ไม่ใช่ทหารอยากทำอะไรก็ทำ ไม่มีบทลงโทษใด ๆ เพราะเราจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ บทลงโทษมีอยู่แล้วในกฎหมายทั่วไป และไม่ห่วงหากพรรคการเมืองกลับคำ เพราะทุกฝ่ายรับรู้กันอยู่แล้วในข้อตกลงที่คุยกันร่วมกัน” พล.อ.ประวิตร กล่าว
ส่วนกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูนิธิมวลมหาประชาชน ระบุว่าจะไม่ลงนามสัตยาบันร่วมด้วย พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เป็นเรื่องของอนาคต ต้องไปคุยกันเรื่องข้อตกลงก่อน ส่วนจะลงนามหรือไม่ลงนามเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพื่อให้เกิดความปรองดองและเราจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ มองว่ามีความชัดเจนแล้ว.-สำนักข่าวไทย