กรุงเทพฯ 26 ส.ค. – “ประเสริฐ” เผยสทนช. คาดเดือน ก.ย.นี้ ยังมีโอกาสเกิดพายุเพิ่ม แต่ย้ำว่าปีนี้สถานการณ์จะไม่รุนแรงเหมือนปี 54 เนื่องจากมีการบริหารจัดการน้ำเชิงรุก เขื่อนขนาดใหญ่ยังรองรับน้ำได้อีกมาก
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้สทนช.ใช้กลไก ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย ได้แก่ ลุ่มน้ำโขงเหนือ ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ และลุ่มน้ำยม–น่าน เพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่อย่างใกล้ชิด ทั้งด้านการติดตามข้อมูล การประเมินความเสี่ยง และการเตรียมแผนเชิงรุก
“เน้นให้ทุกพื้นที่เร่งพร่องน้ำในลำน้ำและอ่างเก็บน้ำที่ได้รับอิทธิพลจากพายุ ‘วิภา’ ก่อนหน้านี้ เพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับน้ำจากพายุ ‘คาจิกิ’ และฝนรอบใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในเดือนกันยายน” นายประเสริฐกล่าว
สทนช.ระบุว่า สถานการณ์ปี 2568 แตกต่างจาก มหาอุทกภัยปี 2554 อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในด้านจำนวนพายุ ปริมาณฝน และการบริหารจัดการน้ำ ดังนี้
- จำนวนพายุ:
ปี 2554 ประเทศไทยเผชิญ พายุ 5 ลูกติดต่อกัน ได้แก่ นกเต็น, ไหหม่า, ไห่ถาง, เนสาด และนาลแก ทำให้ฝนตกต่อเนื่องยาวนาน
ปี 2568 ถึงปัจจุบันมีเพียง 2 ลูก คือ วิภา และ คาจิกิ และแม้คาดว่า จะมีพายุเพิ่มในเดือนกันยายน แต่จำนวนและความรุนแรงน้อยกว่ามาก - ลักษณะมรสุมและลานีญา:
ปี 2554 มีทั้ง ร่องมรสุมยาวนาน และ ลานีญารุนแรง ส่งผลให้ปริมาณฝนสูงกว่าค่าเฉลี่ยมาก
ปี 2568 ปรากฏการณ์ลานีญาอ่อนลง และร่องมรสุมไม่มีความยาวต่อเนื่องแบบเดิม ทำให้ฝนโดยรวมไม่หนักเท่าในปี 2554 - ปริมาณน้ำและการระบายน้ำ:
ปี 2554 ปริมาณน้ำสูงสุดที่จังหวัดนครสวรรค์วัดได้ 4,689 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และมีการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาถึง 3,726 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
ปี 2568 คาดการณ์ปริมาณน้ำสูงสุดที่นครสวรรค์เพียง 1,605 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และการระบายน้ำสูงสุดจากเขื่อนเจ้าพระยาเพียง 1,300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที — ต่ำกว่าปี 2554 เกือบ 3 เท่า - ความสามารถในการรองรับน้ำของเขื่อนใหญ่:
ปี 2554 เขื่อนหลักหลายแห่งมีน้ำใกล้เต็มความจุ ทำให้ต้องเร่งระบายลงลุ่มเจ้าพระยา
ปี 2568 เขื่อนใหญ่ยังมีพื้นที่รองรับน้ำได้อีกมาก เช่น เขื่อนภูมิพล รองรับเพิ่มได้กว่า 4,300 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนสิริกิติ์ รองรับเพิ่มได้กว่า 1,700 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนแควน้อยฯ และ เขื่อนป่าสักฯ รวมเหลือพื้นที่ว่างกว่า 1,200 ล้าน ลบ.ม.
ทั้งนี้ในปี 2568 มีความพร้อมรับมือสูงกว่าปี 2554 ทั้งในด้าน จำนวนพายุที่น้อยกว่า, ฝนตกไม่ต่อเนื่อง, การระบายน้ำที่ต่ำกว่าเกือบ 3 เท่า และ เขื่อนใหญ่ยังรองรับน้ำได้มาก ทำให้ ความเสี่ยงน้ำท่วมใหญ่ต่ำกว่าปี 2554 อย่างมาก
นอกจากนี้สทนช.ยังประเมินว่าแม้เดือนกันยายนอาจมีพายุลูกใหม่ แต่จากการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่และเขื่อนใหญ่ทั่วประเทศ ทำให้ปีนี้มีความพร้อมรับมือกว่าที่ผ่านมา
“รัฐบาลตระหนักถึงบทเรียนจากปี 2554 และไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเฝ้าระวังและเตรียมมาตรการรองรับเต็มที่ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสถานการณ์ปีนี้จะไม่รุนแรงเหมือนปี 2554 อย่างแน่นอน” นายประเสริฐกล่าว .512-สำนักข่าวไทย