ทำเนียบฯ 23 พ.ย.- “พล.ท.สรรเสริญ” ระบุ มาตรการเพิ่มรายได้ ให้ผู้มีรายได้น้อย เป็นมาตรการชั่วคราว หวังกระตุ้นการบริโภคในประเทศ ย้ำให้ผู้มีรายได้น้อยขึ้นทะเบียน เพื่อนำไปสู่การช่วยเหลืออย่างตรงจุดต่อไป ปัดประชานิยม
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่รัฐบาลออกมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ โดยมอบเงินช่วยเหลือแก่ผู้มีรายได้น้อยที่มีรายได้ไม่เกินปีละ 30,000 บาท / ปี จำนวน 3,000 บาท/คน และผู้ที่มีรายได้ตั้งแต่ 30,000 บาท/ปีขึ้นไป แต่ไม่เกิน 100,000 บาท/ปี จำนวน 1,500 บาท / คน ว่า รัฐบาลบริหารประเทศโดยมองทุกมิติอย่างรอบด้าน จึงออกมาตรการนี้ควบคู่ไปกับมาตรการทางเศรษฐกิจอื่น ที่จะช่วยปฏิรูปเศรษฐกิจทั้งระบบในระยะยาวซึ่งต้องใช้เวลา เช่น การลงทุน การเก็บภาษี ฯลฯ และแม้รัฐบาลจะดูแลเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจได้ แต่ก็ยังคงมีความเปราะบาง และอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้มีรายได้น้อย รัฐบาลจึงต้องการเพิ่มรายได้ให้ครอบคลุมผู้มีรายได้น้อยทั้งหมด ซึ่งรวมถึงผู้ที่อยู่นอกภาคการเกษตร หลังจากที่ได้ช่วยเหลือเกษตรกรไปแล้ว
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ย้ำชัดเจนว่าเป็น มาตรการชั่วคราว ให้ครั้งเดียวแล้วจบ ไม่ใช่การให้เงินช่วยเหลือแบบรายเดือน ซึ่งมีผลดีคือจะช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบ และประชาชนไม่เป็นหนี้เพิ่ม รัฐบาลต้องการให้ผู้มีรายได้น้อยไปขึ้นทะเบียน เพื่อต่อยอดไปสู่มาตรการช่วยเหลืออื่น ๆ เช่น รถไฟฟรี รถเมล์ฟรี ให้ตรงจุดอย่างแท้จริง ระหว่างที่รัฐบาลกำลังสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศ ก็จำเป็นต้องมีหลายมาตรการออกมาสนับสนุนซึ่งกันและกัน
“มาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาล แตกต่างจากประชานิยมในอดีต ที่มุ่งให้ความช่วยเหลือประชาชนแบบสะเปะสะปะ ไม่มีการตรวจสอบรายได้ วันนี้รัฐบาลให้ประชาชนไปขึ้นทะเบียนด้วยตนเอง จึงทำให้มีฐานข้อมูลที่ถูกต้อง และเมื่อวันข้างหน้าเศรษฐกิจดีขึ้น รัฐบาลจะประหยัดงบประมาณในการช่วยเหลือ และสามารถนำเงินไปลงทุนพัฒนาประเทศในด้านอื่น ๆ ได้” พล.ท.สรรเสริญ กล่าว
พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า หากรัฐบาลไม่ทำเช่นนี้ วงจรปัญหาแบบเดิมก็จะเกิดขึ้นวนเวียนซ้ำซาก ดังนั้นจึงไม่ควรนำไปเปรียบเทียบกับสิ่งที่ดำเนินการมาก่อนหน้า ส่วนประชาชนผู้มีรายได้น้อยทั้งในและนอกภาคการเกษตรก็จำเป็นต้องปรับตัว ไม่รอคอยแต่เพียงการช่วยเหลือจากภาครัฐเท่านั้น รัฐบาลยินดีเป็นพี่เลี้ยงและให้การสนับสนุนให้ทุกคนสามารถยืนอยู่ได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืนด้วยตนเอง.-สำนักข่าวไทย