หนองคาย 20 ส.ค.- อธิบดีกรมชลฯ ลงหนองคายติดตามโครงการพัฒนาลุ่มน้ำห้วยหลวงตอนล่าง สร้างระบบชลประทาน แก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งอย่างถาวร พร้อมดันเป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชน
เมื่อเวลา 13.00 น. (20 ส.ค.) นายทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน พร้อมคณะ ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการดำเนินโครงการพัฒนาลุ่มน้ำห้วยหลวงตอนล่าง ที่สถานีสูบน้ำบ้านแดนเมือง ต.วัดหลวง อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย และไปตรวจการบริหารจัดน้ำของโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาห้วยโมง อ.ท่าบ่อ
นายทองเปลว กล่าวว่า ลุ่มน้ำห้วยหลวงตอนล่าง มีพื้นที่รับน้ำ 2,260 ตร.กม. ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของ จ.อุดรธานี และ จ.หนองคาย เป็นพื้นที่มีปัญหาเรื่องการขาดแคลนน้ำเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะน้ำเพื่อการเกษตร ส่วนฤดูฝนจะเกิดน้ำหลาก โดยเฉลี่ยแล้วจะมีพื้นที่น้ำท่วมประมาณ 9,000 ไร่ในแต่ละปี ซึ่งโครงการพัฒนาลุ่มน้ำห้วยหลวงตอนล่าง จ.หนองคาย คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ดำเนินโครงการเมื่อวันที่ 24 เม.ย.2561 วงเงินดำเนินการ 21,000 ล้านบาท แผนงานโครงการ 9 ปี จะแล้วเสร็จในปี 2569 ภายในโครงการจะมีสถานีสูบน้ำบ้านแดนเมือง งานพนังกั้นน้ำช่วงที่ตลิ่งต่ำตามแนวลำห้วยหลวง งานอาคารบังคับน้ำตามลำห้วยหลวงและลำน้ำสาขา 15 แห่ง งานระบบชลประทาน ครอบคลุมพื้นที่ 315,195 ไร่ และระบบควบคุมอุทกภัยอัจฉริยะ เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จจะสามารถบรรเทาอุทกภัยในเขต จ.หนองคาย และ จ.อุดรธานี ส่งน้ำใหพื้นที่ชลประทานเดิม 15,000 ไร่ และเพิ่มพื้นที่สชลประทานใหม่อีก 300,195 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 284 หมู่บ้าน 37 ตำบล 7 อำเภอ ของ จ.หนองคาย และ จ.อุดรธานี โดยมีครัวเรือนได้รับผลประโยชน์ 29,835 ครัวเรือน มีแหล่งน้ำต้นทุนเพื่อขยายพื้นที่ชลประทาน นอกจากนี้ จะผลักดันให้เกิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวของชุมชนให้ชุมชนได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ ในอนาคตอาจมีการจัดสรรให้เป็นตลาดชุมชนร่วมด้วย
นายทองเปลว กล่าวว่า ขณะนี้การก่อสร้างมีความก้าวหน้าร้อยละ 2.77 ช้ากว่าแผนงานที่วางไว้ร้อยละ 0.14 เนื่องจากผลกระทบของโควิด- 19 ทำให้การขนส่งวัสดุและโรงงานผลิตเครื่องสูบน้ำจากต่างประเทศขนส่งล่าช้า ส่วนผลสืบเนื่องจากระดับน้ำโขงที่ลดลงจากปกติ แม้ระดับน้ำจะเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณน้ำก็ยังต่ำว่าทุกปี จะไม่ส่งผลกระทบกับโครงการในระยะยาว เนื่องจากได้มีการศึกษาผลกระทบในช่วงภาวะน้ำโขงลดต่ำสุดมาแล้ว ทำให้มีการวางระบบรองรับปริมาณน้ำไว้แล้ว.-สำนักข่าวไทย